เพื่อให้การปิดฉากสุดสัปดาห์นี้...เป็นไปในแบบเบาๆ-สบายๆ ไม่ถึงกับต้องเสียเวลาคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อยมากมายสักเท่าไหร่นัก เลยคงต้องขออนุญาตไปหยิบเอา “เรื่องเก่า” กลับมา “เล่าใหม่” อันเป็นอะไรที่สามารถนำมาใช้อรรถาธิบายถึงฉากสถานการณ์ใน “ปัจจุบัน” ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากสถานการณ์ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่กำลังเกิดรายการฮึ่มๆ ฮั่มๆ กันระหว่างรัสเซียกับนาโตและคุณพ่ออเมริกา จนต้องเกิดการขนทหารหมีขาวไปตรึงไว้ระหว่างช่วงพรมแดนรัสเซีย-ยูเครน จำนวนถึง 94,000 นายหรือ 140,000 นาย อะไรทำนองนั้น...
นั่นคือเหตุการณ์เมื่อช่วงประมาณเกือบ 60 ปีที่แล้ว หรือประมาณช่วงเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1962 ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “วิกฤตจรวดคิวบา” (The Cuban Missile Crisis) หรือ “วิกฤตเดือนตุลาฯ” (The October Crisis) หรือ “วิกฤตแคริเบียน” (The Caribbean Crisis) ก็แล้วแต่จะว่ากันไป อันเป็น “วิกฤต” ที่รองรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซียในทุกวันนี้ คือ “นายSergey Ryabkov” ท่านเพิ่งหยิบมาเปรียบเทียบ อุปมา-อุปไมย ว่าแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “วิกฤตยูเครน” ที่กำลังใกล้จะอุบัติขึ้นมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะไปเดากันเอาเอง ว่าสุดท้ายแล้ว...ทหารหมีขาวนับหมื่นๆ แสนๆ นายนั้น คิดจะ “บุกยูเครน” ในช่วงหน้าหนาว อย่างที่รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน หรือบรรดาผู้นำโลกตะวันตกและคุณพ่ออเมริกาพยายามเดาสุ่มไว้ล่วงหน้า จนต้องออกมา “ขู่” รัสเซียเอาไว้ก่อนหรือเปล่า...
คือ “วิกฤตจรวดคิวบา” หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่...คงไม่ถึงกับมีอะไรสลับซับซ้อนมากมายเกินไปนัก เริ่มจากประเทศที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของคุณพ่ออเมริกาคือคิวบา เขาได้เกิดการปฏิวัติ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยฝีมือของคุณลุง “ฟิเดล คาสโตร” (Fidel Castro) เพื่อนซี้แหง ย่ำปึ๊ก ของอภิมหานักปฏิวัติอย่าง “เช เกวารา” (Che Guevara) ผู้วายชนม์ไปแล้วทั้งคู่นั่นเอง จนทำให้แทนที่จะหันไปจูบปากอเมริกา จูบปากพวกมาเฟียที่พยายามอาศัยเกาะเล็กๆ แห่งนี้เป็นแหล่งฟอกเงิน ทำเงิน โดยไม่สนใจการกดขี่ขูดรีดใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เกาะเล็กๆ อย่างคิวบาก็เลยเปลี่ยนมาเป็นพวกปีกซ้าย หรือพวกที่นิยมแนวคิดแบบสังคมนิยม หรือแบบคอมมิวนิสต์นับตั้งแต่บัดนั้น อันก่อให้เกิดความ “เปรี้ยวตีน” ต่อประเทศหัวขบวนทุนนิยมอย่างคุณพ่ออเมริกาอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ จนต้องหาทาง “บ่อนทำลาย” ประเทศที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของตัวเองในทุกๆ วิถีทาง รวมทั้งวิถีทางที่น่าเกลียด น่าชังเอามากๆ นั่นก็คือการสนับสนุนพวก “กบฏคิวบา” ให้จับอาวุธบุกโจมตีประเทศนี้แบบดื้อๆ ทื่อๆ เมื่อช่วงเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1962 ด้วยการยกพลขึ้นบกที่ “อ่าวหมู่” (Bay of Pigs) หรือที่รู้จักกันในนาม “Operation Mongoose” นั่นเอง...
การคิดล้มอำนาจการปกครอง เปลี่ยนระบอบการปกครองของคิวบาแบบดื้อๆทื่อๆ เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผู้นำประเทศเล็กๆ อย่างคุณลุง “คาสโตร” ท่านเลยหนีไม่พ้นต้องผวาเข้าไปซบอก “โซเวียตรัสเซีย” ที่กำลังรู้สึกหงุดๆ หงิดๆ กับแผนการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยไกลของอเมริกาในอิตาลีและตุรกี ช่วงปี ค.ศ. 1961 ที่มีอานุภาพมีศักยภาพระดับสามารถทำลายกรุงมอสโกให้ราพณาสูรไปในชั่วพริบตา การเสนอตัวเข้ามาช่วยปกป้อง คุ้มครองคิวบาของสหภาพโซเวียต จากการถูกบ่อนทำลายโดยคุณพ่ออเมริกา ก็จึงกลายเป็นการนำเอาขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพในการทำลายล้างอเมริกาได้ทั้งประเทศเข้ามาติดตั้งเอาไว้ในประเทศนี้ หรือจ่อเอาไว้ใต้จมูกอเมริกา จนเครื่องบินจารกรรม “U-2” ของกองทัพสหรัฐฯ ตรวจพบความเคลื่อนไหวดังกล่าว เมื่อช่วงวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1962 นั่นเอง...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้คุณพ่ออเมริกาท่านถึงกับ “ผงะ” ไม่คิดจะปล่อยให้เป็นแค่เรื่อง “การเปิดกว้างทางนโยบาย” หรือ “Open door policy” แบบที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันคนปัจจุบัน “นายNed Price” พยายามให้คำอธิบายถึงการคิดหันมาจูบปากกับอเมริกาและนาโตของประเทศยูเครน ที่อยู่หน้าปากประตูบ้านของรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย ว่ากันว่า...ช่วงนั้น อดีตประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “จอห์น เอฟ. เคนเนดี” ถึงกับต้องเรียก “ประชุมฉุกเฉิน” ทั้งฝ่ายการเมืองและการทหาร หรือถึงขั้นต้องร่างแผนโจมตีคิวบาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หนักซะยิ่งกว่าการส่งทหารรัสเซียไปตรึงพรมแดนยูเครนในทุกวันนี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หรือถึงกับต้องตั้งด่านสกัดกั้นการลำเลียงยุทโธปกรณ์ทุกชนิดของโซเวียตไม่ให้ขึ้นฝั่งไปยังประเทศคิวบา ไม่ว่าทางอากาศ ทางทะเล แม้กระทั่งในบริเวณ “น่านน้ำสากล” ก็ตาม พร้อมกับออกแถลงการณ์เรียกร้องให้โซเวียตรัสเซีย ถอนจรวดนิวเคลียร์ออกไปจากคิวบา รวมทั้งทำลายฐานยิงทุกแห่งลงไปด้วย...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยนำไปสู่บรรยากาศความตึงเครียดและการเผชิญหน้าระหว่าง 2 อภิมหาอำนาจของโลกในช่วงนั้น อย่างชนิดหวิดๆ จะกลายเป็นการจุดชนวน “สงครามโลกครั้งที่ 3” เอาเลยก็ว่าได้ หรืออย่างที่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ณ ขณะนั้น คือ “นายโรเบิร์ต แมคนามารา” (Robert McNamara) ถึงกับสรุปเอาไว้ว่า “ความเป็นไปได้ของสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และโซเวียตในช่วงเวลาดังกล่าว...ใกล้ถึงจุดระเบิดระดับเฉียดฉิวเกินกว่าใครๆ จะคาดเดาได้” คือถึงขั้นเรือรบนานาชนิดของสหรัฐฯ ไม่ว่าเรือ “USS Essex”, “USS Gearing”, “USS Kennedy” ฯลฯ ถูกส่งออกมาปฏิบัติการตรวจจับเรือทุกชนิดทั่วทะเลแคริบเบียน ขณะฝ่ายโซเวียตรัสเซียก็พร้อมที่จะส่งเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ไม่ว่าเรือ “B-4”, “B-36”, “B-59” และ “B-130” เข้ามาปกป้องการขนถ่าย ลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่แต่ละลำต่างบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ ที่สามารถยิงจากพื้น-สู่-พื้น จากพื้น-สู่-อากาศ ลูกละ 4 กิโลตัน มาชนิดเต็มเพียบ แถมยังได้รับคำสั่งให้สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้โดยทันที ถ้าหากถูกฝ่ายตรงข้ามตรวจพบ หรือถูกกดดัน บีบบังคับ ไม่ว่าในทางใด ทางหนึ่ง ก็ตาม...
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้โลกทั้งโลกหวิดฉิบหายวายวอดกันไปแล้วในช่วงนั้น ไม่เพียงแต่เกิดฉากเหตุการณ์ที่ทำให้ใครต่อใครขนหัวลุก ขนคอตั้ง ชนิดครั้งแล้ว ครั้งเล่า เช่น กรณีเครื่อง “U-2F” ของสหรัฐฯ จากฐานบินฟลอริดา ที่บินพรวดๆ พราดๆ เข้าไปในน่านฟ้าคิวบา ถูกจรวดแซมสอยร่วง นักบินเสียชีวิตโดยทันที เครื่องบินโจมตี “RF-8A” จากเรือบรรทุกเครื่องบิน “US Crusader” ถูกกระหน่ำยิงจากปืนต่อสู้อากาศยานคิวบา เครื่องบินจารกรรม “U-2” ที่ล่วงล้ำเข้าไปในน่านฟ้าโซเวียต ถูกเครื่องบิน “MIG” ของรัสเซียสกัดกั้น จนกองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องส่งเครื่องบินขับไล่ “F-102” ติดขีปนาวุธนิวเคลียร์เข้าไปสนับสนุนเหนือน่านฟ้าแถบทะเลเบริง ฯลฯ แต่ยังเกิดกรณีที่เรือ “USS Randolph” ของสหรัฐฯ ตรวจพบความเคลื่อนไหวของเรือด้ำน้ำ “B-59” ของโซเวียต และเข้าปิดล้อม กดดัน ด้วยการทิ้งระเบิดน้ำลึก ที่เรียกๆ กันว่า “depth charges” เพื่อให้เรือดังกล่าวยอมจำนน ส่งผลให้ผู้บังคับการเรือดำน้ำ “B-59” ของโซเวียต ผู้มีชื่อว่า “วาเลนติน กริกอรีวิช ซาวิตสกี้” (Valentin Grigorievitch Savitsky) ถึงกับสบถออกมาดังๆ ตามเรื่องราวที่เปิดเผยในภายหลัง ประมาณว่า... “เรากำลังจะถล่มพวกมันเดี๋ยวนี้นี่แหละ เพราะถึงเราตาย...แต่พวกมันจะต้องฉิบหายตามไปด้วย!!!”
นี่...หนักหนาสาหัสถึงขั้นนั้น แต่ก็ยังโชคดี หรือพระผู้เป็นเจ้าท่านยังคงเมตตา ปรานีต่อบรรดามวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายอยู่พอสมควร ที่ทำให้ภายในเรือดำน้ำ “B-59” ของโซเวียต ยังมีรองผู้บังคับการผู้มีชื่อว่า “วาซิลี อเล็กซานโดรวิช อาร์ฮิปอฟ” (Vasili Alexandrovich Arkhipov) ร่วมเดินทางมาด้วย หรือผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา “นายโธมัส บลานตัน” (Thomas Blanton) สรุปเอาไว้หลังเหตุการณ์วิกฤตจรวดคิวบา ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า... “หมอที่มีชื่อเรียกๆ กันว่า วาซิลี อาร์ฮิปอฟนี่แหละ...ที่เป็นผู้ช่วยโลกทั้งโลกเอาไว้” หรือช่วยคลี่คลายบรรยากาศการเผชิญหน้าแบบชนิดใกล้จะเหนี่ยวไก ลั่นไก เต็มที ให้ค่อยๆ คลี่คลายลงมาพร้อมๆความสำเร็จการเจรจาถอนการติดตั้งอาวุธของทั้งสองฝ่าย คือขณะโซเวียตยอมถอนขีปนาวุธนิวเคลียร์ออกจากคิวบา สหรัฐฯ ก็พร้อมรื้อถอนการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ในอิตาลีและตุรกี ภายในระยะ 11 เดือนนับจากนั้น...
ส่วน “วิกฤตยูเครน” ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร ในอีกไม่นานนับจากนี้ จะคลี่คลายไปในแบบไหนต่อแบบไหน เกิดการถอนทหารรัสเซียนับหมื่นๆ แสนๆ นายออกจากพรมแดนยูเครน ไปพร้อมๆ กับการปฏิเสธการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนเพื่อไม่ให้เกิดการส่งทหาร การเข้าไปติดตั้งขีปนาวุธในประเทศนี้ได้แบบสบายๆ อันถือเป็นการ “ละเมิดเส้นตาย” หรือไม่ต่างไปจากการซุกอาวุธเอาไว้ใต้จมูกรัสเซีย ที่ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านมิอาจเอามือซุกหีบได้โดยเด็ดขาด เพราะถือเป็นการ “ก่ออาชญากรรม” ต่อประเทศรัสเซีย ดังที่ท่านได้ป่าวประกาศเอาไว้แล้วนั่นแล...