xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กเหลี่ยม”กลับมาหวังสอย”บิ๊กตู่”! (ตอนสามสิบเอ็ด) ทำไมต้อง “มะกัน-ตะวันตกบางชาติ-จีน-รัสเซีย” เท่านั้น ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

“ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” อันมี “ชาติมะกัน” กับ “ยุโรปบางชาติ” พยายามกดดันให้ชาติที่อ่อนแอกว่าทำตาม..!!!
อืม..มิน่าล่ะ..บรรดา “ฝรั่ง”ถึ งได้ยอมรับว่า “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” ในยุคประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” กำลัง “ตกต่ำ” ต้อง “ฟื้นฟู” ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครา

“ไบเดน” จึงต้องจัดประชุมสัมมนากว่า 100 ประเทศ เพื่อจะใช้ “ชาติต่างๆ” ให้ต้าน “จีน” และสถาปนาให้ระบอบ “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง”มั่ นคงขึ้น เพราะระบอบ “สังคมนิยมผสมทุนนิยม” ที่เคยล้าหลังของ “มังกรจีน” ซึ่งฝรั่งมั่งค่าเคยดูถูกดูแคลน กำลังฉายแววจับตาต้องใจชาวโลก

เพราะเพียงไม่กี่สิบปี “จีน” ได้พัฒนาทั้งทางด้านการเมือง-เศรษฐกิจ-เทคโนโลยี ฯลฯ มั่นคงและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเกินคาด..

จีน-ที่ “กลุ่มชาติตะวันตก” เคยยกกำลังพลและกองทัพอันเกรียงไกร บุกเข้าไปไล่ล่าเป็นอาณานิคม! ชาวจีนที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก ต้องขมขื่นอยู่กับการเมืองอันล้าหลัง จมปลักอยู่กับความยากจน สังคมจีนไร้ความหวังกับอนาคตมาอย่างยาวนาน ฯลฯ

ชาวจีนจำนวนมิใช่น้อยต้องหนีความยากจน “หอบเสื่อผืนหมอนใบ” ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ต้องระเห็จไปอาศัยและดำรงชีวิตอยู่ต่างแดนทั่วโลก เสมือน “พลเมืองชั้นสอง” อันไร้ค่าเท่าที่ควร ฯลฯ

กระทั่งห้วง “สงครามโลกครั้งที่สอง” ชาติจีนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น “เหมาเจ๋อตง” กับพลพรรค ภายใต้การนำของ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน” ชนะการศึกสงคราม ได้ขึ้นบริหารชาติจีนอันล้าสมัยในยุคนั้น

จีน-ยุคหลังการปฏิวัติของ “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” ได้มีระบบการเมืองคัดเลือก “ผู้นำจีน” ทุกระดับ ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนด้านล่างสู่เบื้องบน โดยได้ “เหมาเจ๋อตง” ผู้นำการต่อสู้ในสงคราม จนพิชิตศึก เปลี่ยนยุค “ทุนนิยมสามานย์” สู่ยุค “สังคมนิยมคอมมิวนิสต์”

ส่วน “เติ้งเสี่ยวผิง” ผู้นำที่วางรากฐานให้ชาติจีนเริ่มต้นสู่ยุค “สังคมนิยมผสมทุนนิยม” ซึ่ง “ผู้นำจีน” อีกหลายคนยึดเป็นแนวทาง จนทำให้“ จีนเก่า” กลายเป็น “จีนใหม่” เป็น “จีน” ที่ก้าวไกลทันสมัยล้ำยุคในวันนี้ เป็นเส้นทางเดินของ “จีน” ที่มีประธานาธิบดี “สีจิ้นผิง” เป็น “ผู้นำชาติ” ในปัจจุบันนี่ไง

จีน-ที่เคยล้าหลัง กลายเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ จากผู้นำอันดับ 2 ของโลก กำลังขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก ในอีกไม่นานนี้อย่างแน่นอน!

จีน-ที่เคยยากจน วันนี้กลายเป็นเจ้าหนี้ และเป็นศัตรูอันดับ 1 ของ “ชาติมะกัน” ไปเสียแล้ว..!

จีน-ได้กลายเป็น “ชาติ” ที่มีสิ่งประดิษฐ์ในหลากมิติ จดทะเบียนลิขสิทธิ์มากที่สุดในโลก และเทคโนโลยีมากมายของ “จีน” พุ่งขึ้นติดอันดับที่ 1 ของโลก โดยเฉพาะด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ระบบดิจิทัล 5 G ของ “จีน” ก้าวนำเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และ “จีน” ยังเดินหน้าสู่ระบบดิจิทัล 6 G ก่อนชาติอื่นๆ อีกด้วย..!

จีน-พัฒนากองทัพ จนถึงขั้นสร้างเครื่องบินและเรือดำน้ำ “ล่องหน”! สร้างกองเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์! ส่งยานอวกาศลงจอดในด้านมืดของ “ดวงจันทร์” บุกอวกาศด้วยการส่งยานไป “ดาวอังคาร” ได้อีกด้วย..น่าตกใจไหมล่ะ?

ผู้นำจีน-ได้แก้ต้นเหตุปัญหา “ความยากจน” นับแต่โบราณกาลให้หายไปได้ โดย “ผู้นำจีนทุกคน” รวมทั้ง “ผู้นำสีจิ้นผิง” ได้ทำให้ “ประชาชนจีนส่วนใหญ่” มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จน “สหประชาชาติ” ยอมรับว่า “จีน” ได้ขจัด “คนยากจน” ในชาติให้ลดลง..และกำลังจะหมดไปเร็วๆนี้..!

แม้ “จีน” จะเกิด “โควิด” ระบาดเช่นเดียวกับชาวโลก แต่ “จีน” ยังคงมุ่งมั่นสร้างเส้นทางยุทธศาสตร์ระบบราง ทั้งความเร็วปานกลางและความเร็วสูง เพื่อขนส่งคนกับสินค้า “จีน” อย่างต่อเนื่อง

แน่นอน..การเมืองที่มิใช่ “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” ของ “จีน” จะนำพาอิทธิพล “จีน” ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ-การเมือง-ศิลปะวัฒนธรรม ฯลฯ แพร่ขยายเข้าไปเพิ่มขึ้นใน “ชาติต่างๆ” ที่ “รถไฟจีน” แล่นผ่านเป็นธรรมดา..จริงไหม?

นั่นทำให้ชาติที่อ้างตัวเป็น “ตำรวจโลก” ซึ่งมี “ชาติมะกัน” เป็น “หัวโจก” กับเครือข่าย “ชาติตะวันตก” จะยอมนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว.. เพราะจะกระทบต่อผลประโยชน์หลายหลากและอิทธิพลที่มีอยู่..

ชาติมะกัน”จึ งเริ่มเปลี่ยนนโยบาย ด้วยการขนกองทัพจาก “ตะวันออกกลาง” หันมาอาละวาดใน “เอเชียอาคเนย์” แทน..

นโยบาย “อินทรี-ถล่ม-มังกร” ยุค “ทรัมป์” ต่อเนื่องมาจนถึงยุค “โจ ไบเดน” จึงยังคงใช้หลัก “อเมริกาเฟิร์ส” หรือ “อเมริกาต้องสวาปามก่อน” ซึ่งจะยิ่งสร้างความปั่นป่วน บั่นทอนความมั่นคงของโลกด้วยประเด็นใหญ่ๆ ที่ “ชาติมะกัน” กับ “ตะวันตกบางชาติ” จะสุมหัวเคลื่อนไหวแทรกแซงทำลายความมั่นคงของ “ชาติอื่นๆ” ด้วยข้ออ้างที่ใช้เป็นประจำก็คือ..

เรื่องไม่เป็น “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง”! เรื่องไม่มี “เสรีภาพ” ทางการค้าและการเมือง! เรื่องไม่ “คุ้มครองทางด้านสิทธิมนุษยชน”! เรื่องใช้แรงงาน “เถื่อน” กับ “เด็ก”! เรื่องอ้างทำผิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกสารพัดของ “พวกเขา” ฯลฯ

นั่นจะเป็นข้ออ้างที่ “ชาติมะกัน” กับ “ตะวันตกบางชาติ” จะบีบบังคับด้วยมาตรการต่างๆนานา ซึ่งต้องทำให้ได้ตาม “ชาติพวกตน” ซึ่งสถาปนาตนเป็น “กลุ่มตำรวจโลก” คอยชี้นิ้วประณาม และบงการให้ทำจนกว่า “กลุ่มตำรวจโลกจอมปลอม” จะพึงพอใจ!

หาก “กลุ่มตำรวจโลก” ไม่ถูกอกถูกใจน่ะหรือ? “กลุ่มพวกเขา” จะทำให้ “คนในชาติ” นั้นๆ ก่อความวุ่นวายปั่นป่วนไม่หยุด จนบางครั้ง “ก่อการจลาจล” ถึงขั้นสร้าง “สงครามกลางเมือง” เพื่อโค่น “นายกฯ-ประธานาธิบดี-รัฐบาล” ซึ่ง “ชาติพวกตน” ระบุว่า “แข็งข้อ” หรือทำตัวไม่พึงปรารถนา ให้หมดอำนาจลงไปให้ได้โดยเร็ว ฯลฯ

อืม..คราวนี้ลองมาดูความเห็นของ “ผู้คน” ที่มีต่อ “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” ของ “ชาติมะกัน” และ “ตะวันตกบางชาติ” กันหน่อยดีไหม..?

เริ่มจาก “เจมส์ รัสเซลล์ โลเวลล์” นักวิจารณ์ บรรณาธิการ และนักการทูตชาวอเมริกัน บอกว่า “ประชาธิปไตยให้สิทธิประชาชนทุกคน ในการเลือกทรราชของตนเอง”

ทางด้าน “นิรนาม” สรุปความในใจตรงๆว่า “ประชาธิปไตย คือ เสียงข้างมาก แม้ว่าจำนวนเสียงข้างมากจะโง่ กว่าเสียงข้างน้อยก็ตาม”

ขณะที่ “ชาร์ลส์ บูคาวสกี” กวีและนักเขียนนวนิยาย มีผลงานถึงสี่สิบกว่าเล่ม แม่เป็นชาวเยอรมัน พ่อเป็นทหารอเมริกัน พอเรียนจบมหาวิทยาลัยก็มาอยู่ที่นิวยอร์ค ได้บอกว่า

“ความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตย กับ เผด็จการ อยู่ที่ว่า ในระบอบประชาธิปไตย ต้องออกเสียงเลือกตั้งก่อน แล้วถึงได้เผด็จการ แต่ในระบอบเผด็จการนั้น ไม่ต้องเสียเวลา ในการเลือกด้วยซ้ำ”

แต่ “เบนิโต มุสโสลินี” เผด็จการตัวยงของอิตาลีดันบอกว่า “ประชาธิปไตย นั้นงดงามในภาคทฤษฎี แต่เป็นความวิบัติในภาคปฏิบัติ”

“เอมมิล เอ็ม. ซิโอรัน” นักปรัชญาและนักเขียนชาวโรมาเนีย สรุปว่า “เป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่ระบอบประชาธิปไตยของแต่ละชาติ เป็นได้ทั้งสวรรค์ และหลุมฝังศพ”

“คาร์ล ครอส” คีตกวีชาวเยอรมัน ตอกตะปูปิดฝาโลงว่า “ประชาธิปไตย หมายถึงโอกาสในการเป็นทาสอย่างเท่าเทียมกันทุกคน”

ส่วน “คลีเมนต์ แอตลี” รัฐบุรุษและอดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร กล่าวไว้ว่า “หากรัฐบาลรู้จักความหมายของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คงเรียนรู้ที่จะหุบปาก แล้วทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

“ทิม อัลเลน” ให้ข้อคิดที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า “ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเราต้องเลือกระหว่าง สังคมนิยมและประชาธิปไตย ทำไมเราไม่เลือกเอาส่วนที่ดีของทั้งสองระบบมาล่ะ”

เออ..นั่นสินะ!..ทำไมต้องยึดแต่ “อเมริกา-ตะวันบางชาติ” แล้วทำไมต้อง “จีน-รัสเซีย” เท่านั้น..จริงไหม..?

“คนสมัยนี้ “การเมืองขึ้นสมอง” ใช้การเมืองเป็นเครื่องมือกอบโกย ฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว การเมืองเลยกลายเป็นเรื่อง อัปรีย์จัญไรไปเสีย”

“ธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็น ทำลายโลกขึ้นมาทันที”
 
อืม..ไฉนปราชญ์ “พุทธทาสภิกขุ” จึงล่วงรู้ “จิตใจคนทุกชาติ” ถึงกับระบุได้ตรงเป๊ะเช่นนี้...???




กำลังโหลดความคิดเห็น