xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองอเมริกาชุลมุน วุ่นวาย และ“อึมครึม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองแวะไปดู “การเมือง” ในประเทศคุณพ่ออเมริกาเขาดูสักหน่อย เพราะเห็นว่าชักออกอาการอุตลุด ชุลมุน วุ่นวายและ “อึมครึม” ไม่น้อยไปกว่าบ้านเรา ที่เกิดการงัดกันไป-งัดกันมา ระหว่าง “รัฐมนตรีแป้ง” กับนายกฯ “บิ๊กตู่” มาตั้งแต่ครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวที่แล้ว จนแม้จะ “ปลด” รัฐมนตรีไปแล้ว 2 ราย แต่ก็ยังมิวายเกิดอาการอึมครึมไปทั่วทั้งพรรค “พปชร.” หรือพรรคแกนนำรัฐบาลจนตราบเท่าทุกวันนี้ ชนิดต้องไม่ว่าก็ใครต้องกะระยะห่าง-ระยะเคียง ระหว่าง “ป่ารอยต่อ” ระหว่าง “ป.ประวิตร” กับ “ป.ประยุทธ์” ว่าจะมีพรมแดน เขตแดน ลึกและไกลไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน???

คือสำหรับคุณพ่ออเมริกานั้น...เผอิญว่ารองประธานาธิบดีแป้ง (ประทานโทษ) รองประธานาธิบดี “กมลา แฮร์ริส” (Kamala Harris) ที่มีอายุอานาม เพียงแค่ 50 กว่าๆ ยังไม่ถึง 60 ปีเท่านั้นเอง หรือยังทั้งสด ทั้งซิง เธอออกจะเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้ง ตั้งแต่แรก อีกทั้งยังคมเข้ม ไปด้วยไหวพริบและปฏิภาณ ถือเป็นรองประธานาธิบดีหญิงผิวสีรายแรก ที่เป็นที่น่าจับตาเอามากๆ แม้จะมีฐานะ ตำแหน่ง เพียงแค่รองประธานาธิบดีก็เถอะ แต่ด้วยเหตุเพราะตัวประธานาธิบดี อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” หรือ “โจ ซึมเซา” นั้น อายุอานามก็ปาเข้าไปถึง 79 เกือบ 80 ปีไปแล้วในช่วงระหว่างนี้ แถมมักออกอาการ “บดเบลออ์อ์อ์” ซึมๆ เซาๆ พืดผิด-พืดถูก (พูดผิด-พูดถูก) บางครั้งก็หันไปหลับยาวในที่ประชุมครั้งสำคัญๆ ไม่ก็หกคะล้มหน้าทิ่ม หน้าตำ จนส่งผลให้สถานะ ตำแหน่งระดับรองประธานาธิบดีของ “กมลา แฮร์ริส” เลยกลายเป็นอะไรที่ถูกคาด ถูกเดา ถูกเก็ง เอาไว้แต่แรก ว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาจต้องผงาดขึ้นมา “แทนที่” ผู้เฒ่าโจ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรือส่งผลให้เธอเต็มไปด้วยแรงฮึด แรงยื้อ ยิ่งกว่าคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน อย่าง “รัฐมนตรีแป้ง” บ้านเรา ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

และด้วยความที่เป็นรองประธานาธิบดีหญิงผิวสี ที่เกลียดการเหยียดผิว เหยียดเพศ อย่างเป็นพิเศษ เป็นผู้ได้รับการสนับสนุนจากพวก “ปีกซ้าย” ในพรรคเดโมแครต โดยเฉพาะประเภทที่ชอบส่งเสียงเชียร์พวก “Black Lives Matter” หรือขบวนการต่อต้านการเหยียดผิวในอเมริกา ที่เป็นคู่ต่อสู้ คู่ขัดแย้งรายสำคัญ กับพวก “White Supremacists” หรือพวก “ผิวขาวนิยม” ทั้งหลาย อันนำมาซึ่งการปะทะ การสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วทั้งอเมริกา มาตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งยังทำให้เกิดข่าวคราวประมาณว่า...เธอออกจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับบรรดาผู้ที่อยู่รายรอบตัวประธานาธิบดี ที่ออกจะหนักไปทางพวก “Segregationist” หรือพวก “เหยียดเชื้อชาติ” มากมายสักเท่าไหร่ ส่วนจะจริง-ไม่จริง!!! ก็ยังยากที่จะสรุปได้ เพราะข่าวคราวทำนองนี้ มักมีที่มาจากบรรดาผู้ขยันหมั่นเพียรในการ “ยุแยงตะแคงรั่ว” ทั้งหลาย โดยเฉพาะสื่อมวลชนประเภท “Fox News” ที่เคยถือหางอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอดนั่นเอง...

เพราะเพียงแค่เกิดการ “ลาออก” ของ “นางแอชลีย์ อีเธน” (Ashley Etienne) ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวของรองประธานาธิบดีเมื่อวัน-สองวันนี้ ก็เล่นเอาพวก “ปากหอย-ปากปู” หยิบไปลือ ไปเฟกนิวส์ หรือฟักนิวส์ กันอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ประมาณว่าเกิดการ “ปีนเกลียว” หรือเกิด “เกาเหลาชามใหญ่” ระหว่างประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดี ชนิดถึงขั้นผู้สื่อข่าว “Fox News” อย่าง “นายChad Perogram” หยิบเอาไป “ทวีต”เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ว่าอาจได้เห็นรายการ “ถีบ” รองประธานาธิบดีทิ้ง หรือเกิดกระบวนการสรรหารองประธานาธิบดีรายใหม่ ในรัฐสภาอเมริกันเร็วๆ นี้ เอาเลยถึงขั้นนั้น หนักซะยิ่งกว่า “ปลด” รัฐมนตรีแป้ง หรือรัฐมนตรีตาโตบ้านเราเอาเลยก็ว่าได้ ยิ่งเมื่อตัวประธานาธิบดีต้องเดินทางไปตรวจเช็กร่างกายแบบยกเครื่อง ไปส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ณ โรงพยาบาล “Walter Reed Medical Center” อันทำให้ต้องโอนอำนาจทั้งมวลของประธานาธิบดีไปให้กับรองประธานาธิบดี ในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้สถานะ บทบาท ของรองประธานาธิบดีสาวใหญ่ ใจกล้าและใจถึงรายนี้ ยิ่งเป็นที่น่าจับตายิ่งๆ ขึ้นไป ชนิดถือเป็นรองประธานาธิบดีหญิงรายแรก ที่มีโอกาสครอบครองอำนาจในฐานะ “ประมุขโลก” แม้ในช่วงระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม...

อย่างไรก็ตาม...หลังจากตัวประธานาธิบดีผ่านการส่องกล้อง ตรวจเนื้อเยื่อ ผังผืด ในทุกๆ ซอก ทุกๆ มุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การออกมาป่าวประกาศโดย “Dr.Kevin C O’Conner” นายแพทย์ประจำตัว “โจ ซึมเซา” มาตั้งแต่ครั้งเป็นรองประธานาธิบดียุค “โอมาบ้า” โน่นเลย ว่าปราศจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆทั้งสิ้น ไม่พบเนื้อเยื่อ ผังผืดใดๆ ที่อาจส่อแววถึงโรคร้ายๆ อย่างโรคมะเร็ง ไม่มีอาการสโตรก ไม่มีการแข็งตัวของเนื้อเยื่อที่อาจนำไปสู่โรคพาร์กินสัน ไม่มีสัญญาณเบาหวาน หรือไทรอยด์ รวมทั้งการ “สะดุดล้ม” หัวทิ่ม หัวตำ ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ก็แค่ความพลั้งพลาดธรรมดาๆ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงเอามากๆ ผู้ที่ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมออกกำลังวันละ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่างประธานาธิบดีรายนี้ ที่ยังคงฟิตปั๋งพร้อมที่จะทำหน้าที่ต่อไปได้ทุกเมื่อ การโอนอำนาจกลับคืนมายังตัวประธานาธิบดีภายในช่วงบ่ายวันเดียวกัน จึงเป็นไปตามครรลองทางการเมืองของอเมริกา แบบเดียวกับที่อดีตประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” เคยโอนอำนาจให้กับรองประธานาธิบดี “ดิก เชนีย์” ระหว่างต้องส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่มาแล้วนั่นเอง...

แต่ก็นั่นแหละ...ระหว่างกำลังตรวจไป-ตรวจมา ก็เผอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่คณะลูกขุนแห่งเมือง “Kenosha” รัฐวิสคอนซิน ได้ลงมติคำตัดสินต่อคดีฟ้องร้องเด็กหนุ่มชาวอเมริกันอายุ 18 ปี ผู้มีนามกรว่า “นายKyle Rittenhouse” ที่เชื่อๆ กันโดยยังไม่ถึงกับมีหลักฐานชัดเจน ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกขบวนการ “White Supremacists” ที่หอบปืนผาหน้าไม้ข้ามรัฐ ลอดรัฐ เข้ามายิงใส่ขบวนผู้ประท้วง “Black Lives Matter”เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จนผู้ประท้วงมีอันต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปถึง 2 ราย คือ “นายJoseph Rosenbaum” และ “นายAnthony Huber” บาดเจ็บไป 1ราย คือ “นายGaige Grosskreutz” โดยสรุปว่าถือว่า “ไม่มีความผิด” ใดๆ ทั้งสิ้น!!!...

อันส่งผลให้กระแสคลื่นแห่งการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เลยเริ่มหวนกลับมาสู่สังคมอเมริกัน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เกิดข่าวคราวการประท้วง การก่อความรุนแรง การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อคำตัดสิน วินิจฉัยของคณะลูกขุนคราวนี้ ไม่ว่าในชิคาโก วอชิงตัน นิวยอร์ก ลอสแองเจลิส ฯลฯ และอีกหลายต่อหลายรัฐ หลายเมือง ชนิดต้องเตรียมพร้อมกำลังตำรวจไปทั่วทั้งประเทศ เพราะแม้แต่บรรดาพวก “ปีกซ้าย” ในพรรคเดโมแครต ยังออกอาการ “รับไม่ได้” โดยเด็ดขาดต่อคำตัดสินดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเทศมนตรีนครนิวยอร์ก อย่าง “นายBill de Blasio” องค์กรเพื่อสิทธิพลเมืองชาวอเมริกันอย่าง “The American Civil Liberties Union” หรือ “ACLU” ไปจนประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรม พรรคเดโมแครต อย่าง “นายJerrold Nadler” ที่ต้องออกมา “ทวีต” ไว้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่าถือเป็นคำตัดสินที่ “น่าขยะแขยง” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถือเป็น “ความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรม ที่กำลังนำมาซึ่งอันตรายต่อชาวอเมริกันทั้งมวล” พูดง่ายๆ ว่าหนักซะยิ่งกว่าคำตัดสินเรื่อง “ล้มล้าง-ไม่ล้มล้างการปกครอง” ของศาลยุติธรรมบ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

ส่วนปรากฏครั้งนี้จะนำไปสู่อะไรต่อไป หรือไม่ อย่างไรนั้น...คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาได้เลยแม้แต่น้อย เพราะแม้ว่าผู้ที่ถูกรายรอบไปด้วยพวก “Segregationist” อย่างประธานาธิบดี “โจ ซึมเซา” จะออกมาแสดงความรู้สึก “โกรธและเป็นห่วง” ต่อคำตัดสินในลักษณะดังกล่าว แต่หนีไม่พ้นต้องเรียกร้องให้อเมริกันชนทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในตัวบทกฎหมายหรือกฎหมายต้องเป็นกฎหมายอย่างไม่มีทางเป็นอื่นนั่นเอง แต่จะทำให้บรรดาพวกปีกซ้ายในพรรคเดโมแครต หรือผู้ที่ให้การสนับสนุนรองประธานาธิบดี “กมลา แฮร์ริส” มาโดยตลอด จะยอมเอามือซุกหีบไว้เฉยๆ ไม่คิดจะรัฐมนตรีแป้งไม่คิดจะ “พปชร.” ไม่คิดจะ “ป.ประวิตร” กับ “ป.ประยุทธ์” กันบ้างเลย หรือไม่ อย่างไรนั้น อันนี้...ก็ยิ่งน่าจับตายิ่งขึ้นไปใหญ่และนั่นย่อมทำให้ “การเมืองอเมริกา” ณ ช่วงขณะนี้ อาจ “อึมครึม” ซะยิ่งกว่า “การเมืองบ้านเรา” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...


กำลังโหลดความคิดเห็น