xs
xsm
sm
md
lg

ระหว่าง“เงิน”กับ“คุณค่าความเป็นมนุษย์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน
ปิดฉากสัปดาห์นี้...ถ้าจะว่ากันเรื่องเบาๆ สบายๆ อาจต้องเลยเถิด เตลิดเปิดเปิง ไปถึงเรื่องประเภท “ผีบ้าบอล” หรือเรื่องที่บรรดา “คอบอล” ทั้งหลาย ไม่ว่าในบ้านเรา หรือโลกทั้งโลก ให้ความสนใจกันมาโดยตลอด ประเภทแค่ “ผีแดง-แมนยูฯ” ถูก “หงส์แดง-ลิเวอร์พรุน(พูล)” บดขยี้คาสนามไปถึง 5-0 พูลสวัสดิ์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เล่นเอาใครต่อใครร้องไห้กระจองอแงขี้มูกโป่งแล้ว-โป่งอีกเอาเลยถึงขั้นนั้น...

คือเผอิญว่า...จาก “ข่าวล่า-มาเรือ” คราวล่าสุด เห็นว่าอภิมหาโค้ชระดับแนวหน้าของสเปนและยุโรป อย่าง “อูไน เอเมอรี” (Unai Emery) ที่เคยคุมทีมระดับดังๆ ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่สปาร์ตัก มอสโก (Spartak Moscow) ของรัสเซีย, เซบีญา (Sevilla) และบียารีล (Villarreal) ของสเปน, ปารี แซงต์ แชร์กแมง (Paris Saint Germain) ของฝรั่งเศส ไปจนทีมปืนใหญ่อาร์เซนอล (Arsenal) ของอังกฤษมาก่อนหน้านี้ ได้ตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอของทีมสโมสร “สาลิกาดง-นิวคาสเซิล” (Newcastle) ที่จะให้เข้ามาคุมทีมในฤดูกาลนี้ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าสโมสรฟุตบอลอังกฤษรายนี้กำลังจะกลายเป็นสโมสรที่ “รวย” ที่สุดในโลก หรือรวยแซงหน้าสโมสร “แมนฯซิฯ” หรือ “Manchester City” ที่แขกยูเออี หรือเจ้าชายแห่งสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ กว้านซื้อไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมทั้งสโมสร “ปารี แซงต์ แชร์กแมง” ที่แขกกาตาร์ โผล่มาคว้าเอาไปครอบครองเมื่อสักไม่กี่ปีที่ผ่านมา...

เหตุที่สโมสรซึ่งเคยจนๆ...อย่าง “นิวคาสเซิล” กลายมาเป็นสโมสรที่ “รวยที่สุดในโลก” มีมูลค่าสินทรัพย์ไม่น้อยไปกว่า 320,000 ล้านปอนด์ ก็คงไม่ใช่อะไรอื่น...แต่เป็นเพราะ “แขกซาอุฯ” โดย “กองทุนความมั่งคั่งแห่งซาอุฯ” หรือ “Public Investment Fund” (PIF) ที่มีมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย อย่างเจ้าชาย “โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” (Prince Mohammed bin Salman) หรือที่เรียกๆ กันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “เจ้าชาย MbS” นั่นแหละ เป็นองค์ประธาน ดอดเข้ามาซื้อหุ้นจำนวนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของสโมสรแห่งนี้ ด้วยมูลค่าตีเป็นเงิน-เป็นทองประมาณ 300 ล้านปอนด์ หรือ 13,760 ล้านบาท เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนซาอุฯ ไปเมื่อเร็วๆ นี้ และส่งผลให้บรรดาแฟนบอล “สาลิกาดง” จำนวนไม่น้อย หรือประมาณ 93 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ถ้าว่าตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนอังกฤษ ถึงกับออกอาการกรี๊ดๆ กร๊าดๆ ออกัสซั่มพลั่กๆๆกันไปเป็นรายๆ ออกมากู่ร้องก้องตะโกนแสดงความปรีดาปราโมทย์ ปีติยินดี ถึงขั้นถือธง โบกธงชาติซาอุฯ สวมหน้ากากรูปหน้าของเจ้าชาย “MbS” แห่ออกมาเฉลิมฉลอง ณ สนามเซนต์เจมส์พาร์ค ชนิดบางรายถึงกับแต่งเพลง ร้องเพลง ที่มีเนื้อร้องประมาณว่า... “เรารวยกว่าคุณแล้ว...เรารวยที่สุดแล้ว F- -k Man City เรารวยกว่ามันแล้ว!!!” อะไรทำนองนั้น...

แต่ถึงแม้จะรวยแสนรวยเพียงใดก็ตาม...ดูเหมือนว่า “แนวคิดในการทำทีม” ระหว่างทีมงานผู้บริหารนิวคาสเซิล กับตัวของอภิมหาโค้ช “อูไน เอเมอรี” นั้น ไม่น่าจะสอดคล้องต้องกัน มากมายสักเท่าไหร่ การตัดสินใจปฏิเสธที่จะเข้ามาควบคุมทีมนิวคาสเซิล หันไปปักหลักอยู่สโมสรระดับกลางๆ อย่าง “บียารีล” ในสเปนต่อไป จึงน่าจะก่อให้เกิดความผิดหวังต่อผู้บริหารสโมสร หรือต่อแฟนบอลสาลิกาดงไม่มากก็น้อย แต่ก็นั่นแหละ...นั่นเป็นเรื่องของ “ทางบอล” ว่าจะเข้าเท้า เข้ากับรสนิยมของฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง หรือไม่? อย่างไร? แต่สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ ก็คือว่า ภายใต้รสนิยมของแฟนบอล ของบรรดา “ผีบ้าบอล” ทั้งหลาย ไม่ว่าในบ้านเรา หรือในเมืองผู้ดีอังกฤษ มันออกจะเป็นอะไรที่ตัดขาด แยกขาด ไปจากเรื่องอื่นๆ แทบทุกเรื่อง ชนิดแทบมิอาจนำมาเกี่ยวข้อง โยงใย พัวพัน กันเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความดี-ความชั่ว ความถูก-ความผิด คุณธรรม มโนธรรม ตลอดไปจนความยุติธรรม ฯลฯ อันเป็นองค์ประกอบสำคัญ หรือองค์ประกอบพื้นฐานแห่ง “ความเป็นมนุษย์” เอาเลยก็ว่าได้...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...มันเลยทำให้บรรดาแฟนบอลสาลิกาดง ประมาณ 93 เปอร์เซ็นต์ เลยไม่คิดจะ “ตั้งคำถาม” ใดๆ ต่อบทบาทพฤติกรรม ของท่านประธานกองทุน “PIF” อย่างเจ้าชาย “MbS” ผู้เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแห่งนี้เอาเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่วันมานี้นี่เอง โทรทัศน์อเมริกา อย่างรายการ “60 นาที” ของ “CBS” เพิ่งจะเปิดฉากสัมภาษณ์อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองซาอุฯ อย่าง “นายSaad Aljari” ที่ต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ ณ ประเทศแคนาดาไปหมาดๆ ว่ามกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียรายนี้นี่แหละ ถือเป็น “ภัยคุกคามต่อประชาชนของตัวเอง ต่อชาวอเมริกัน ชาวอังกฤษ และต่อชาวโลกทั้งโลก” หรือ “Threat to the Planet” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! แถมยังเป็น “โรคจิต” ที่มิมีทางเยียวยารักษาใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว...

คือจริง-ไม่จริง คงต้องไปสืบหา ค้นคว้า กันเอาเองก็แล้วกัน ไม่ว่าเรื่องการวางแผนลอบวางยาพิษกษัตริย์ซาอุฯ องค์ก่อน อย่าง “กษัตริย์อับดุลลาห์” (King Abdullah) เพื่อเปิดทางให้บิดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง หรือ “กษัตริย์ซัลมาน” (King Salman) ผงาดขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน และเพื่อแต่งตั้งให้ตัวเองเป็นมกุฎราชกุมารสืบต่อสันตติวงศ์ การวางแผนลอบสังหาร “ฆ่าหั่นศพ” อดีตนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” (Jamal Khashoggi) ณ สถานทูตซาอุฯ ในตุรกี เมื่อช่วง 3 ปีที่แล้ว รวมทั้งการส่งมือสังหารมาลอบฆ่าอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองรายนี้ถึงประเทศแคนาดา ฯลฯ แต่ถ้าว่ากันโดยรวมๆ โดยหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ที่โลกทั้งโลกได้พอรับรู้ รับทราบ กันไปมั่งแล้ว มกุฎราชกุมารซาอุฯ และประธานกองทุน “PIF” รายนี้...ท่านก็น่าจะ “ทรงพระเหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” มิใช่น้อยเอาจริงๆ ไม่งั้น...ท่านคงไม่คิดจะปล่อยให้บรรดาชาวเยเมนกว่า 10 ล้าน 20 ล้าน ต้องป่วยตาย ต้องอดอาหารตาย อันเนื่องมาจากการส่งกองกำลังทหารซาอุฯ เข้าไปปิดกั้นเมืองท่า เส้นทางขนส่งลำเลียงความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เข้าไปในประเทศจนๆ อย่างเยเมน แทบจะทุกทิศ ทุกด้าน อย่างชนิดมิได้ทรงรู้สึก รู้สา อะไรเลย...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้แฟนบอลนิวคาสเซิล (บางราย) อย่างเช่น “นายAlex Thomson” ผู้สื่อข่าว TV-4 ของอังกฤษ ต้องออกมาโพสต์ว่า...ถึงขั้นแทบ “อ้วก” หรือแทบป่วยคาบ้าน เมื่อเห็นบรรดาแฟนบอลสาลิกาดง ออกมาแห่แหนแสดงความปรีดาปราโมทย์ โบกธงชาติซาอุฯ สวมหน้ากากเจ้าชาย “MbS” หลังจากกองทุน “PIF” เข้าเทคโอเวอร์สโมสรแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับ “Phillip Proudfoot” นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง และผู้นำพรรค “UK’s Northern Independence Party” ที่จะเป็นแฟนบอลนิวคาสเซิลตัวจริง หรือไม่จริง ก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้จะต้องออกมาเตือนความจำของแฟนบอลนิวคาสเซิล ว่าชื่อของกัปตันทีมสาลิกาดง อย่าง “Jamaal Lascelles” นั้น เป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับ “นายJamal Khashoggi” ที่ถูกมือสังหารจากซาอุฯ เอาถุงครอบหัว รัดคอ จนขาดใจตาย ก่อนหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ เอาไปทิ้งที่ไหนต่อที่ไหนก็ยังมิอาจรับรู้ รับทราบจนบัดนี้...

คือการแยกขาด ตัดขาด ความ “เมามันซ์ซ์ซ์” จากกีฬาฟุตบอล ออกจากเรื่องอื่นๆ ในแทบทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณีนั้น อย่างน้อยก็ไม่น่าถึงขั้นต้องแยกขาด ตัดขาด สิ่งเหล่านี้ออกจาก “ความเป็นมนุษย์” ชนิดแทบไม่เหลือติดปลายนวมใดๆ เอาไว้เลย ความปีติ ยินดี ของแฟนบอลนิวคาสเซิล ต่อการผงาดขึ้นเป็น “สโมสรที่รวยที่สุดในโลก” ต่อการมีมกุฎราชกุมารซาอุฯ อย่างเจ้าชาย “MbS” เป็นเจ้าของสโมสร มันเลยอาจไม่ต่างไปจากท่าทีรัฐบาลอเมริกันของ “ผู้เฒ่าโจ” ในช่วงระหว่างนี้นั่นแหละ คือทั้งที่รู้ ทั้งรู้ ว่าเจ้าชายพระองค์นี้ มีส่วนเกี่ยวพันกับการสังหารโหดอดีตนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ มีส่วนทรมานทรกรรมต่อประชากรนับสิบๆ ล้านในเยเมน ไม่ว่าโดยรายงานหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ของหน่วยข่าวกรองซีไอเอ จนถึงขั้นต้องถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศออกจากประเทศนี้ไปบ้างแล้ว แต่พอเมื่อเจอกับคำสั่งซื้อยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์การซ่อมเฮลิคอปเตอร์ Apache และ Blackhawk มูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ ก็ดันตัดใจไม่ได้ที่จะต้อง “อนุมัติ” การสั่งซื้อ หรือคงต้องเลือก “เงิน” เอาไว้ก่อน ส่วนสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” หรือ “คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์” ค่อยว่ากันไปตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันกันเอาเอง...


กำลังโหลดความคิดเห็น