xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตพลังงาน...กำลังหวนกลับมาอีกครั้ง!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



จะดี-จะร้าย!!!...คงยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่สำหรับปิดท้ายสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้นต้องชวนให้แวะไปดูเรื่อง “ราคาน้ำมัน” ซึ่งกำลังเป็นอะไรที่ระเบิดเถิดเทิงกันในระดับทั่วทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่เล่นเอาบรรดาพวก “สิงห์รถบรรทุก” จากสหพันธ์การขนส่งทางบก ถึงกับต้องไสขบวนรถจำนวนเกือบ 200 คัน ออกมาล้อมกรุงเทพมหานคร ติดป้ายเรียกร้องและวิงวอน ขอให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” แก้ปัญหาน้ำมันแพงโดยด่วน...

คืออันที่จริง...มันก็เป็นไปในระดับโลก หรือทั่วทั้งโลก นั่นแหละทั่น!!! จากราคาน้ำมันที่เคยถูกเป็นขี้ ถูกเป็นโจ๊ก เมื่อครั้งที่คุณลุง “บิ๊กตู่” เพิ่งยึดอำนาจรัฐประหารได้หมาดๆ ในช่วงปี พ.ศ. 2557 หรือค.ศ. 2014 หรือแค่ราวๆ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอะไรประมาณนั้น แต่มาถึงทุกวันนี้...ถ้าดูจากราคาซื้อ-ขายในตลาดล่วงหน้า ช่วงวันอังคาร (19 ต.ค.) สำหรับ “Brent Crude Oil” ที่จะส่งมอบกันในเดือนธันวาฯ นั้น เห็นว่าราคาพุ่งพรวดๆ พราดๆ ไปอยู่ที่ 85.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับ “West Texas” ที่จะส่งมอบกันในเดือนพฤศจิกาฯ พุ่งขึ้นไปที่ 82.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือแพงกว่าช่วง... “เราจะทำตามสัญญา-ขอเวลาอีกไม่นาน...ฮึ๊มฮึม ฮึ๊มหึ่ม” ไปกว่าเท่า-สองเท่า เอาเลยก็ว่าได้...

ส่วนเหตุที่มัน “แพง...แสน...แพง” ไม่ว่าจะแดง-ไม่แดงกันในระดับไหนต่อระดับไหน ก็คงอาจเป็นเพราะข่าวคราวว่าด้วยการ “ขาดแคลนพลังงาน” ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน หรือแก๊ส ฯลฯ ของใครต่อใครในช่วงนี้ มันออกจะมาแรงแซงโค้ง ซะเหลือเกิน หรือออกจะหนักหนา-สาหัส มิใช่น้อย เรียกว่า...เล่นเอา “ไฟฟ้าดับ” ไปเป็นมณฑลๆ เอาเลย สำหรับประเทศที่ได้ชื่อว่า “โรงงานของโลก” อย่างคุณพี่จีน ต้องจุดเทียนไข จุดตะเกียง ผลิต “ชิ้นส่วน” โน่นๆ นี่ๆ ไม่ต่างไปจากบรรดาประเทศในยุโรปและอเมริกา ที่ชักเริ่มมือเย็น ตีนเย็น เพราะช่วงฤดูหนาวที่กำลังย่างกรายเข้ามา ชนิดทำให้ความขาดแคลนดังกล่าวส่งผลกระทบไปถึง “ธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน” ในระดับทั่วทั้งโลก ลุกลามไปถึงการขึ้นราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค ไปจนเกิด “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาบ้าน แทบทุกประเทศไปแล้วในทุกวันนี้...

อเมริกานั้น...เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 5.4 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว ในขณะนี้ หรือสูงสุดในรอบระยะ 13 ปีที่ผ่านมาเอาเลยก็ว่าได้ ส่วนยุโรปอย่างอียู-อีย้วย ก็หนีไม่พ้นต้องย้วยไป-ย้วยมา เพราะภาวะเงินเฟ้อล่าสุด เมื่อช่วงวันพุธ (20 ต.ค.) นี่เอง ตามตัวเลขสถิติของ “Eurostat” เพิ่มขึ้นไปถึง 3.4 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มขึ้นไปอีก 3 เปอร์เซ็นต์นับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้วว์ว์ว์ หรือเพิ่มเท่ากับช่วงที่เกิด “วิกฤตการเงินโลก” ปี ค.ศ. 2008-2009 นั่นแล เพราะแค่จะอุ่นมือ อุ่นตีน ให้พอหายเย็น หายหนาว ขึ้นมามั่ง ก็หนีไม่พ้นต้องควักเงินถึง 96 ยูโร เพื่อจ่ายค่าไฟฟ้าต่อหนึ่งชั่วโมงเมกะวัตต์ อันเนื่องมาจาก “ราคาแก๊ส” ที่พุ่งขึ้นไปถึงประมาณ 1,150-1,200 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร ในทุกวันนี้...

ยิ่งเมื่อต้องเจอกับภาวะที่ “ตลาด” ของโลกทั้งโลก...มันเต็มไปด้วย “นักเก็งกำไร” ก็ยิ่งแทบหาตัวเลขระดับราคา ที่ถูกต้อง เหมาะสม แทบไม่เจอ เพราะถ้าว่ากันตามรายงานการวิเคราะห์ราคาของบริษัทการตลาดระดับโลก อย่าง “CME Group” หรือบริษัทซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนอนุพันธ์ทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ที่อาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า “Quickstrike” ในการตรวจสอบการเคลื่อนไหวขึ้นๆ-ลงๆ ของระดับราคาสินค้าต่างๆ หรือการ “เก็งกำไร” ล่วงหน้า ยิ่งมีสิทธิ์ตกตะลึง ตาค้าง ผงะ หรือหงายหลังเอาง่ายๆ เพราะว่ากันว่า...ตัวเลขการเก็งกำไรการขึ้นๆ-ลงๆ ของราคาน้ำมัน ภายในสิ้นปีนี้ (2021) มันขึ้นไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังบ้ากับบ้า หรือบ้า...ก็...บ้าวะ!!! เก็งกันไปถึงขั้น 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในสิ้นปี ค.ศ. 2022 เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แม้ว่า...นักวิเคราะห์อาวุโส แห่งบริษัท “OANDA Corp.” อย่าง “Ed Moya” จะออกมาให้ “สติ” เอาไว้ว่า การพุ่งขึ้นๆ ของราคาน้ำมันในช่วงนี้เป็นแค่เรื่อง “ระยะสั้น” หรือระดับราคาเท่าที่เป็นอยู่น่าจะถึงจุดอิ่มตัวไปพอสมควรแล้ว และการแตกตื่นแบบหูแหก-ตาแหก ในเรื่องราคาพลังงานช่วงนี้ มีแต่ยิ่งทำให้บรรดาพวก “นักเก็งกำไร” เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ แต่ก็อย่างว่า...ในเมื่อสิ่งที่เรียกว่า “ตลาด” ตามแบบฉบับเศรษฐกิจทุนนิยม มันได้กลายเป็น “บ่อนกาสิโน” ไปนานแล้ว ตามข้อสรุปของอดีตตำนานอภิมหานักสังคมนิยม อย่างคุณลุง “ฟิเดล คาสโตร” อดีตผู้นำคิวบา ที่เพิ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โอกาสที่ราคาสินค้าพลังงาน ไม่ว่าแก๊ส น้ำมัน หรือถ่านหิน ฯลฯ จะอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในระดับราคาที่ถูกต้อง เหมาะสม ในแต่ละช่วง แต่ละระยะ จึงยากที่จะหาข้อสรุปกันได้อย่างถนัดชัดเจน...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่แทบไม่ได้มีทรัพยากรด้านพลังงาน ติดปลายนวม ติดไม้ ติดมือ มากมายสักเท่าไหร่ ต้อง “นำเข้า” ในแต่ละปีกันเป็นจำนวนมหาศาล เลยหนีไม่พ้นต้อง “ซวยไปด้วย” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ต้องเจอกับพวกพี่ๆ-น้องๆ บรรดา “สิงห์รถบรรทุก” ยกขบวนรถบรรทุกถึง 200 คันมาล้อมกรอบกรุงเทพมหานคร พร้อมยื่นข้อเรียกร้องให้ลดราคาน้ำมันดีเซล หรือลดภาษีสรรพสามิต ตรึงราคาดีเซลให้อยู่ในระดับลิตรละ 25 บาท ไปอีกอย่างน้อยสัก 1 ปี เผื่อว่าพอจะได้หายใจ-หายคอขึ้นมาได้มั่ง ส่วนบรรดาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีอำนาจหน้าที่ และโดยเฉพาะ “ความรับผิดชอบ” ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด ตัดสินใจกันไปในแนวไหนต่อแนวไหน อันนั้น...คงต้องถือเป็น “เรื่องของ...มึง” ก็แล้วกัน...

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...เรื่องของราคาพลังงาน ราคาน้ำมัน มันคงไม่ได้เป็นตัวก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อบรรดาพวก “สิงห์รถบรรทุก” แต่เพียงเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวพัน พัวพัน ไปกับผู้คนทุกแวดวงอย่างชนิดมิอาจแยกออกจากกันได้เลย เกี่ยวพันกับค่าขนส่ง ค่าโดยสาร ราคาค่าอาหาร หรือสินค้าอุปโภค-บริโภคทุกๆ ชนิด ที่ต้องอาศัยการขนไป-ขนมา หรือต้องอาศัยรถบรรทุก รถยนต์ รถโดยสาร เรือแต่ละประเภท ไปจนถึงเครื่องบิน ฯลฯ มันถึงทำให้ราคาสินค้าแทบทุกชนิดในโลกทั้งโลกแทบทุกวันนี้ เลยพุ่งทะลุหลังคา พุ่งทะลุเพดาน กันไปเป็นแถบๆ และกำลังทำให้ “ภาวะเงินเฟ้อ” แผ่ซ่าน ครอบคลุมไปแทบจะทั่วทั้งโลก จนอาจนำมาซึ่ง “วิกฤตการณ์” นานาชนิด ไม่ว่าเรื่องข้าว-ของ เครื่องใช้ เรื่องเงินๆ-ทองๆ ไปจนถึงแม้แต่เรื่อง “การเมือง” เอาเลยก็ไม่แน่!!!

ด้วยเหตุนี้...การคิด-การตัดสินใจใดๆ ก็ตาม คงต้องมองให้ยาวไกล มองด้วยวิสัยทัศน์และปรีชาญาณ ที่ประณีตละเอียดอ่อนและลุ่มลึกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่ามองแบบหยาบๆ-ง่ายๆ มองเป็นแค่เรื่องของ “สิงห์รถบรรทุก” มองแค่เรื่องของภาษี ฯลฯ ตามแบบฉบับบรรดาพวก “อีลีท” หรือพวกข้าราชการโดยทั่วไป เพราะทุกวันนี้...นอกจากเรื่องโควิด เรื่องน้ำท่วม เรื่องม็อบทะลุฟ้า-ทะลุแก๊ส ฯลฯ แล้ว ถ้าหากต้องมาเจอกับเรื่อง “ปัญหาพลังงาน” เข้าไปอีกดอก โอกาสที่จะตาย...กับ...ตาย หรือไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต ของรัฐบาล ที่ไม่ว่าอยากจะ “อยู่ยาวว์ว์ว์” ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน มันอาจอยู่ไม่ได้ขึ้นมาดื้อๆ เอาเลยก็ไม่แน่ และโดยถ้าเป็นแค่ “รัฐบาล” ก็คงไม่ถึงกับน่าหนักใจ น่าวิตกกังวลมากมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากมันดันลุกลามบานปลาย ไปยังส่วนอื่นๆ แวดวงอื่นๆ จนประเทศทั้งประเทศอาจพลอยต้อง “ซวยไปด้วย” อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องที่ต้องเร่งคิดแล้ว คิดอีก คิดให้ละเอียดและประณีต ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...


กำลังโหลดความคิดเห็น