ไหนๆ เมื่อวาน...ก็เปิดฉากด้วยการว่ากันถึงเรื่องการแบ่งพรรค-แบ่งพวก หาพรรค-หาพวก ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา ที่จะหาทางต่อต้าน เล่นงาน มหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย แบบชนิดดุเดือดเลือดพล่าน หรือแบบชนิด “กะจะเอาให้ตายไปข้าง” จนกลายเป็นกระแสครอบงำโลกทั้งโลก ให้ต้องตกอยู่ภายใต้บรรยากาศ “สงครามเย็นยุคใหม่” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
วันนี้...เลยคงต้องขออนุญาตลากต่อ ถึงข่าวคราวความเคลื่อนไหวทำนองนี้ ที่ออกจะน่าสนใจอยู่พอสมควรเหมือนกัน นั่นก็คือข่าวคราวที่นักข่าวสตรีอาวุโสแห่งสำนักข่าว “Bloomberg” คุณ “เจนนิเฟอร์ จาคอปส์” (Jennifer Jacobs) เธอได้รายงานเอาไว้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยาฯ ที่ผ่านมา (27 ก.ย.) ว่าด้วยเรื่องรัฐบาลอเมริกันของ “ผู้เฒ่าโจ” ตัดสินใจส่งรองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ “นายดาลีป ซิงห์” (Daleep Singh) ออก “เดินสาย” ไปเยี่ยมเยียนบรรดาผู้นำประเทศ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา หรือบรรดาผู้นำประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย พร้อมทั้งหนีบเอา “นายเดวิด มาร์ชิค” (David Marchick) หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการด้านการเงิน ของหน่วยงาน “US International Development Finance Corporation” ติดตัวไปด้วย คล้ายๆ การหนีบถุงเงิน ถือกระเป๋าเงิน ระหว่างไปเยือนหัวกระไดบ้านของบรรดาผู้นำละตินอเมริกาในแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี “อีวาน มาร์เควซ” (Ivan Duque Marquez) ของโคลัมเบีย ประธานาธิบดี “กิลเลอร์โม ลาซโซ” (Guillermo Lasso) ของเอกวาดอร์ หรือรัฐมนตรีแรงงานปานามา “นายราฟาเอล ซาบอนด์” (Rafael Sabonge) ฯลฯ เป็นต้น...
คืองานนี้...ถ้าว่ากันตามน้ำเสียงในบทรายงานของนักข่าว “Bloomberg” ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า ความพยายามที่จะแบ่งพรรค-แบ่งพวก หรือหาพรรค-หาพวก เพื่อเอาไว้ต่อต้าน เล่นงาน อภิมหาโครงการเปลี่ยนโลก “BRI” (Belt and Road Initiative) ของคุณพี่จีนอย่างเป็นการเฉพาะนั่นแล เพราะตั้งแต่ช่วงต้นปี หรือไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ระหว่างการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ “G7” ผู้นำอเมริกาท่านได้พยายามชี้ชวน เชิญชวน ให้บรรดาประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเหล่านี้ หันมารวมหัว รวมตัว ต่อต้านโครงการ “BRI” กันอย่างเป็นระบบและกิจการ จนเกิดการนำเสนออภิมหาโครงการที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “B3W” ( Build Back Better World Partnership) ขึ้นมาประชันขันแข่งกับ “BRI” ของคุณพี่จีนแบบชนิดตรงไป-ตรงมา หรือแบบ “กะจะให้...เจ๊ง...กันไปข้าง” อะไรประมาณนั้น...
ด้วยเหตุเพราะการลากเลื้อย ลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพัน ตามแบบฉบับ “มังกรจีน” ของคุณพี่จีน ในโครงการ “BRI” ที่ว่าคงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ออกจะเป็นอะไรที่ “ร้ายกาจ” เอามากๆ คือไม่ว่าจะเป็นเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ยันไปถึงแอฟริกาและยุโรป โดยเฉพาะประเทศจนๆ ในยุโรปตะวันออกทั้งหลาย ไปจนถึงประเทศเกาะเล็ก เกาะน้อย ในมหาสมุทรแปซิฟิก ฯลฯ ต่างดูจะ “เสร็จจีน” หรือ “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนจีน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้ง...ถ้าหากจะหันไปใช้แต่ความสูงส่ง วิเศษวิโส ของสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ล้วนๆ แม้จะเป็นอะไรที่กินกะได้-ทากะได้ ผัวดม-เมียหาย พ่อตายใช้-แม่ยายฟื้น ฯลฯ ตามคำป่าวประกาศโฆษณาของบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายมาโดยตลอด แต่ถ้าหากดันไม่มี “กะตังค์” ซะอย่าง!!! โอกาสที่จะระดม “พันธมิตร” ประเภทพร้อมที่จะ “เท่...แม้ไม่มีจะแ-ก” มันคงเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญ อยู่พอสมควรเหมือนกัน...
ยิ่งโดยเฉพาะบรรดาประเทศ “สวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกา...ที่แม้จะไกลแสนไกลแต่ยังหนีไม่พ้นต้องถูก “พญามังกร” ลอดเลื้อยและโอบกระหวัดรัดพันหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เคยว่าไว้แล้วเมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า ทันทีที่ประธานาธิบดี “นิโคลัส มาดูโร” แห่งประเทศเวเนซุเอลา ตัดสินใจที่ยกเลิกการผูกขาดกิจการพลังงาน เอาไว้ในมือของรัฐ เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นไปใกล้ดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร ยิ่งเข้าไปทุกที อันเนื่องมาจากการถูก “แซงชั่น” โดยคุณพ่ออเมริกาอย่างหนักหนาสาหัสที่สุดเท่าที่เคยมีมา การประกาศเชิญชวนให้บรรดา “นักลงทุนต่างชาติ” เข้าไปลงทุนในกิจการประเภทนี้ สุดท้าย...ก็น่าจะเป็น “บริษัทจีน” อีกนั่นแหละ คือบริษัท “CNPC” หรือ “China National Petroleum Corp” ที่หอบหิ้วเงินหยวน เข้าไปลงทุนในกิจการพลังงานในเวเนซุเอลา ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ขณะที่บรรดาบริษัทน้ำมันชาติต่างๆ ยังมัวแต่อื้อๆ อ้าๆ หรือยังเกรงใจคุณพ่ออเมริกา จนปล่อยให้โอกาสหลุดไม้ หลุดมือ เอาง่ายๆ...
ไม่ต่างอะไรไปจากประเทศที่ได้ชื่อว่า “ซาอุดีอาระเบียแห่งแร่ลิเธียม” อันเป็นแร่ที่ความสำคัญเอามากๆ ต่อผลิตภัณฑ์สินค้ายุคดิจิตอลทั้งหลาย เช่น ที่เอามาประกอบเป็น “แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า” เป็นต้น อย่างประเทศโบลิเวีย แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีคนก่อน อย่าง “นายเอโบ โมราเลส” จะถูกโค่นล้ม ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากการรัฐประหาร โดยความร่วมมือของบรรดาประเทศสมุนและบริวารของคุณพ่ออเมริกา หรือบรรดาประเทศที่สังกัดอยู่ในกลุ่ม “OAS” (Organization of America States)ทั้งหลาย แต่หลังจากหนีไปตั้งหลัก และหลังจากทายาททางการเมืองผู้ใกล้ชิด อย่าง “นายหลุยส์ อาร์เซ” (Luis Arce) สามารถผงาดกลับมาเป็นประธานาธิบดีได้อีกครั้งแบบชนิดถล่มทลาย ขณะที่รักษาการประธานาธิบดีหุ่นเชิดอย่าง “นางยานิเน อัญเญซ” หรือ “อาเนซ” (Jeanine Anez) ต้องถูกจับไปติดคุก หวิดๆ จะฆ่าตัวตายคาคุกเอาเลยถึงขั้นนั้นอะไรต่อมิอะไรที่เคย “เดินหน้า” มาในยุคของ “นายโมราเลส” ก็น่าที่จะถูกสานต่อ โดยประธานาธิบดีรายใหม่ อย่างไม่สะดุดหยุดกึก ไม่ต้องล้มคว่ำคะมำหงายแบบเดียวกับ “นายโมราเลส” อีกต่อไปแล้ว และสิ่งนั้นก็คือ...การที่รัฐบาลตัดสินใจให้บริษัทวิสาหกิจแร่ลิเธียมของชาติ หรือบริษัท “Yacimientos de Litio Bolivianos” หรือ “YLB” ร่วมลงทุนกับบริษัท “TBEA” หรือ “Tianqi Lithium Corp” ของจีน ในการสำรวจและผลิตแหล่งแร่ลิเธียม ในเขต “Coipasa” และ “Pastos Grandes” อันเป็นสิ่งที่ทำให้ “นายโมราเลส” เชื่อว่าตัวเองต้องถูกโค่นล้ม เพราะการตัดสินใจเช่นนี้นี่เอง...
ดังนั้น...ด้วยการลอดเลื้อยของ “พญามังกรจีน” เข้ามาถึง “สวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกาในลักษณะเช่นนี้ ย่อมทำให้รัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” หนีไม่พ้นต้อง “ควักกะตังค์” ออกมาแจกจ่าย ตามโครงการ “B3W” กันอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้จะเอาแต่ “ประชาธิปไตย” ไว้ทา ไว้ดม เพียงอย่างเดียว...คงลำบาก!!! ภายใต้การประมาณการว่า บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายในโลกใบนี้ ยังต้องการเงินลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 40 ล้านล้านดอลลาร์อเมริกัน ไปจนถึงปี ค.ศ. 2035 โน่นเลย การออกเดินสายไปเยี่ยมเยียนบรรดาผู้นำประเทศละตินอเมริกาถึงหัวกระไดบ้าน พร้อมกับข้อเสนอที่จะลงทุนในระบบชลประทานของประเทศเอลซัลวาดอร์ สร้างโรงงานเวชภัณฑ์และการวิจัยด้านแพทย์และเภสัชในประเทศแอฟริกาใต้ ลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้ประเทศเคนยาสามารถสลัดตัวเองออกจากการวางระบบเครือข่ายสื่อสาร “5G” ของจีน ไปจนถึงการลงทุนในธุรกิจเพื่อส่งเสริมบทบาทสตรีในประเทศบราซิล ฯลฯ ทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านี้ ก็มุ่งที่จะ “เตะตัดขา” คุณพี่จีน ไม่ให้มีโอกาสออกฤทธิ์ ออกเดช ใน “สวนหลังบ้าน” อเมริกาได้โดยเด็ดขาด!!!
แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่ากะตังค์ของจีน กับกะตังค์ของอเมริกา มันจะเป็น “เงิน” เหมือนกัน สามารถช่วยให้เกิดความคล่องเนื้อ คล่องตัว หรืออาจก่อให้เกิด “กับดักหนี้” ได้ไม่ต่างไปจากกัน แต่โดยความทรุดโทรม เสื่อมโทรมของ “เศรษฐกิจอเมริกา” ไปจนถึงความเสื่อมค่าของ “เงินดอลลาร์” ขณะที่ “เศรษฐกิจจีน” กลับมาแรงแซงโค้ง ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ต่างไปจากเงินหยวน หรือเงิน “เหรินหมินปี้” ที่สามารถปี้ใครต่อใครมาได้โดยตลอด ใครจะได้เปรียบ-เสียเปรียบ ใครจะแพ้-ใครจะชนะ คงต้องจับตากันไปเป็นเรื่องๆ อย่างมิอาจกะพริบตาได้โดยเด็ดขาด เพราะแม้ว่าการ “แข่งขัน” แบบ “กะจะให้...เจ๊ง...กันไปข้าง” ในลักษณะเช่นนี้ อาจถือเป็นเพียง “สงครามทางการค้า” ก็เถอะ!!! แต่ก็อย่างที่อดีตผู้นำแรงงานชาวอเมริกัน “นายยูยีน วิคเตอร์ เด็บซ์” (Eugene Victor Debs) ได้เคยเอ่ยเอาไว้เป็นวาทะเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วประมาณว่า... “Sooner or later every war of trade becomes a war of blood.” หรือ... “ไม่ช้าก็เร็ว...ที่สงครามการค้าทุกๆ ครั้ง ย่อมกลายเป็นสงครามเลือดในท้ายที่สุด” นั่นแล...