xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อพ่อผมป่วยหนัก “หลังฉีดวัคซีน” / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ประสบการณ์คุณพ่อผมอายุ 93 ปี ได้ตัดสินใจฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 หลังจากนั้นพบภาวะปอดอักเสบในวันรุ่งขึ้น และต้องเข้าโรงพยาบาล จนปัจจุบันเข้าสู่เดือนที่ 4 แล้ว โดยป่วยต่อเนื่อง มีภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น และยังไม่ได้กลับบ้านเลย

กรณีศึกษาดังกล่าวข้างต้นเมื่อมาสำรวจแล้วพบว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณพ่อผมเท่านั้น แต่ยังพบผู้สูงวัยคนอื่นของมิตรสหายที่รู้จักกัน โดยมีผลกระทบดังกล่าวคล้ายคลึงกัน และบางรายก็ได้เสียชีวิตแล้วภายหลังจากการฉีดวัคซีน แต่ก็ไม่เคยมีการรายงานหรือบันทึกว่าเป็นผลกระทบจากวัคซีนเลย และแพทย์ก็จะบันทึกว่าเกิดจากสาเหตุอื่นๆ และไม่เกี่ยวกับวัคซีน เพื่อเป็นการปกป้องความเชื่อมั่นต่อวัคซีน

การปกป้องความเชื่อมั่นต่อวัคซีนมีจริงหรือไม่นั้น ก็ได้โปรดสังเกตจากการรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ ได้มีการรายงานหรือไม่ว่าผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ฉีดวัคซีนไปแล้วหรือยัง และฉีดไปกี่เข็ม

และเมื่อไม่มีการบันทึกหรือการรับรู้ในรายงานจากภาครัฐสู่ประชาชน ก็จะส่งผลทำให้สมาชิกในครอบครัวผู้สูงวัยทั่วไปไม่มีวันได้รู้ และไม่มีวันได้ทราบว่า วัคซีนที่เราโปรโมทว่า ฉีดวัคซีนเพื่อชาติก็ดี มีความปลอดภัยกับผู้สูงวัยก็ดี อาจไม่มีการบันทึกถึงผลกระทบและความเสี่ยงที่แท้จริงและซ่อนตัวอยู่ในตัวเลขที่ไม่ได้มีการรายงานหรือไม่

ผมจึงขอรายงานกรณีศึกษาข้างต้น และขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้รับผลกระทบใดๆ แก่คนที่ฉีดวัคซีน ช่วยกันรายงานผลกระทบให้รอบด้าน เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจของประชาชนคนอื่นๆ ในสังคมต่อไป

โรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้จะมีผู้ป่วยส่วนใหญ่หายป่วยเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ยาอะไรเลยถึงร้อยละ 80 และมีอัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยประมาณร้อยละ 1 ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตเหล่านี้ กลุ่มผู้สูงวัยเป็นกลุ่มเสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิตมากที่สุดประมาณร้อยละ 70-80

เมื่อความจริงมีอยู่ว่าคนที่ไม่สูงวัย ไม่มีโรคเรื้อรังมีอัตราการเสียชีวิตต่ำมากๆ ดังนั้นหากใครไม่ใช่กลุ่มผู้สูงวัยและไม่ได้มีโรคเรื้อรัง ความรุนแรงของโรคนี้ก็ถือว่าน้อยมากและหายป่วยได้เองเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่ยังไม่มีกระแสให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเสียด้วยซ้ำไป

แต่สำหรับใครที่มีผู้สูงวัยในบ้าน คงจะต้องคิดหนักมากเพราะปัญหาโรคโควิดนั้นมุ่งทำลายในกลุ่มผู้สูงวัยมากที่สุด

โดยสถิติรายงานรายวันนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศไทยว่า บรรดากลุ่มผู้เสียชีวิตจากโควิดในทุกๆ วัน ผู้สูงวัยมีอัตราการเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 70 โดยมีกลุ่มโรคเรื้อรังตามมาเป็นลำดับถัดมาประมาณร้อยละ 20

และในความเป็นจริงกลุ่มผู้สูงวัยก็มักจะมีโรคเรื้อรังตามมาเป็นส่วนใหญ่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีใครเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรง หรือไม่มีโรคตามวัย และสิ่งที่พบบ่อยคือภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยตามวัย หรือที่เรียกว่า Immunosenescence

และงานวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับว้คซีนก็ชี้ให้เห็นชัดว่า ด้วยภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยตามวัย Immunosenescence ต่อให้ผู้สูงวัยจะฉีดวัคซีนได้ครบ แต่ภูมิคุ้มกันก็จะขึ้นน้อยกว่าและช้ากว่าคนปกติอยู่ดี

และแม้ว่างานวิจัยจะระบุถึงความเสี่ยงผู้สูงวัยในการวัคซีน “คุ้มค่า” กว่าการปล่อยให้ติดเชื้อแล้วเสี่ยงเสียชีวิต แต่งานวิจัยของวัคซีนเหล่านี้ก็อยู่เพียงแค่ในกลุ่มผู้สูงวัยที่ “ไม่เปราะบาง” ส่วนผู้สูงวันที่มีภาวะ “เปราะบาง” นั้นเป็นสิ่งที่งานวิจัยไม่ได้มีการกล่าวถึง นอกจากจะเก็บข้อมูลหลังจากมีการใช้จริงๆ แล้ว

นั่นหมายความว่าการนำผู้สูงวัยที่มีโรคเรื้อรังหรือเปราะบางไปฉีดวัคซีนในฐานะเพื่อการใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ก็ต้องตระหนักว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของ “ความเสี่ยง” ของการ “ทดลอง”ของบริษัทวัคซีนในการเก็บข้อมูลด้วย

โดยเฉพาะ “ผลข้างเคียง” ในผู้สูงวัยที่มีโรคเรื้อรังหรือเปราะบางแบบไหน จะมีผลข้างเคียงอย่างไร และมากน้อยเพียงใด ยังเป็นสิ่งที่พึงจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด

อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีน ในกลุ่มผู้สูงวัยที่มีโรคเรื้อรังหรือเปราะบางเมื่อเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับแพทย์หรือภาครัฐที่จะโยนความผิดทั้งหมดไปที่โรคเรื้อรังเดิม เพื่อปกป้องวัคซีนว่ามีความปลอดภัยสูงต่อไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้สูงวัยจำนวนมากไม่ได้อยู่ในสภาพที่เดินทางออกไปนอกบ้าน แม้กระทั่งอาจไม่อยู่ในสภาพที่เอื้ออำนวยที่จะเดินทางไปฉีดวัคซีนด้วย

ดังนั้นสมาชิกในบ้านที่อายุไม่มาก แม้อาจจะไม่ได้กลัวโรคโควิดเพราะแข็งแรงและเห็นว่าเป็นกลุ่มที่เห็นว่าเป็นโรคที่สามารถหายป่วยเองได้ แต่ก็ต้องกลับไปฉีดวัคซีนหรือยอมเสียสละฉีดวัคซีนเพราะกลัวว่าหากเดินทางไปทำกิจกรรมนอกบ้านก็มีความเสี่ยงที่จะนำเชื้อโควิดมาติดผู้สูงวัยในบ้านได้ ซึ่งจะทำให้เกิดผลร้ายและจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในครอบครัวได้ จริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสถิติประเทศต้นแบบที่ฉีดวัคซีนมากๆ แล้ว จึงพบความจริงในอีกด้านว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อโควิดได้อีก และยังแพร่เชื้อต่อไปได้อีกด้วย

แม้จะพยายามให้เหตุผลว่าการฉีดวัคซีนช่วย “ลดความรุนแรงลง” ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธเหตุผลนี้ แต่สิ่งที่ยังต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไปคือ “ผู้ติดเชื้อหลังฉีดวัคซีนอาการน้อยลง ไม่รู้ตัวว่าป่วย จึงระวังตัวน้อยในการแพร่เชื้อง่ายขึ้น” หรือไม่?

เพราะถ้าเรารู้ตัวว่าป่วยอย่างน้อยเราก็ยังมีอาการที่แสดงออกให้เห็นเพื่อกักตัวเองไม่ไปพบผู้สูงวัยในบ้านได้ แต่ถ้าเราไม่รู้ตัวแล้วจะทำอย่างไร

ข้อเท็จจริงซึ่งยังต้องรอการพิสูจน์ในประเด็นถัดไปคือ การระบาดแบบไม่รู้ตัวมากขึ้นหลังฉีดวัคซีนได้นำไปสู่การกลายพันธุ์ของไวรัสอย่างที่เป็นอยู่ทุกประเทศที่ฉีดวัคซีนหรือไม่ ดังที่เกิดรูปแบบการกลับมาระบาดมากขึ้น และกลายพันธุ์ในสายพันธุ์เดียวกันของหลายประเทศที่ฉีดวัคซีนมากๆ ทั้งๆ ที่มีการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประเทศน้อยมากตลอดปี พ.ศ. 2564 ไม่ว่าจะเป็น สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ อิสราเอลสหรัฐอเมริกา ฯลฯ

แม้จะยังไม่มีใครให้คำตอบนี้อย่างชัดเจนได้ แต่การให้สมาชิกคนในบ้านที่ไม่ใช่ผู้สูงวัยและมักเดินทางออกไปนอกบ้านฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน “แทน” ผู้สูงวัยในบ้านนั้น อาจจะไม่ได้เป็นหลักประกันว่าการฉีดวัคซีนด้วยวิธีการนี้จะทำให้ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้กับผู้สูงวัยในบ้านได้เช่นกัน

กลับมาที่จุดเดิมคือ การจะให้ผู้สูงวัยจากเดิมที่มีโรคเรื้อรังหรือเปราะบางแล้วฉีดวัคซีนนั้น จะทำให้เกิดปัญหาของผลข้างเคียงนั้น ทุกคนล้วนอยู่ในความเสี่ยงที่ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลในการวิจัยทั้งสิ้น เพียงแต่ภาครัฐและงานวิจัยพยายามสรุปว่าติดเชื้อมีความรุนแรงและเสี่ยงกว่าผลข้างเคียงของวัคซีน แต่ก็ไม่มีใครให้ความชัดเจนกับผู้สูงวัยที่มีโรคเรื้อรังหรือเปราะบางได้

อย่างไรก็ตาม “ความเสี่ยง” ก็คือการบริหาร “ความน่าจะเป็น” ไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนเราต่างก็มีความเสี่ยงทั้งสิ้น

แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าความน่าจะเป็นจะเป็นเท่าไหร่ของจริงเป็นอย่างไรก็จะเป็นเช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ตาม “สถิติ” จะพบว่าความน่าเป็นมีน้อยที่ผู้ที่ฉัดวัคซีนจะผลข้างเคียงรุนแรง แต่หากเป็นคนในครอบครัวโดยเฉพาะผู้สูงวัยได้รับผลรุนแรงของการฉีดวัคซีนก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี ไม่ว่าความน่าจะเป็นตามสถิติจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม

แต่เรื่องสถิติจะถูกต้องต่อการตัดสินใจจริงหรือไม่ หากข้อมูลไม่มีการรายงานผลกระทบอย่างรอบด้านจริงๆ ให้ประชาชนได้ตัดสินใจ

คุณพ่อผมอายุ 93 ปี ในขณะที่คุณแม่ผมอายุ 85 ปี แม้ผมจะแนวโน้มค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนในงานวิจัยที่ไม่ชัดเจนในผู้สูงวัยมากเช่นนี้ แต่ก็ไม่หนักแน่นพอที่จะคัดค้านด้วยสถิติอัตราการเสียชีวิตในผู้สูงวัยที่สูงมากเกินกว่าที่จะเสี่ยงได้ ด้วยข้อจำกัดของข้อมูลนี้จึงทำให้ต้องตัดสินใจเสี่ยงไปฉีดวัคซีน

ในความเสี่ยง คุณแม่ผมท่านได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรกมีผลข้างเคียงแต่ก็อยู่ในวิสัยที่รับมือได้ และได้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มตามเกณฑ์อย่างปลอดภัย ซึ่งนับว่าโชคดี

ส่วนคุณพ่อผมนั้นท่านการป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ระยะที่ 3 เมื่อกว่า 6 ปีที่แล้ว แต่เนื่องด้วยจากการตรวจยีนและอายุจึงพบว่าไม่สามารถจะรักษาด้วยแนวทางการบำบัดด้วยคีโมหรือฉายแสงได้ ไม่มีทางที่จะรักษาได้เพราะลุกลามมากแล้ว จึงตัดสินใจใช้แนวทางอื่น โดยใช้ตำรับยาไทย (หลายตำรับ) และสมุนไพรที่สกัดสารสำคัญตามงานวิจัยมาบูรณาการเข้าด้วยกัน ซึ่งยังไม่ขอกล่าวในรายละเอียดในบทความนี้

คุณพ่อผมขอเลือกแนวทาง “ไม่ควบคุมอาหาร” โดยยอมรับผลกระทบที่ต้องตามมาเพื่อแลกกับการที่จะมีความสุขในรสอาหารในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ แต่ก็ยินยอมที่จะใช้สมุนไพรบรรเทาการกำเริบของโรคได้ตามที่ผมจัดให้ ผลค่าบ่งชี้มะเร็งลดลงตั้งแต่ 2 เดือนแรกที่ใช้ตำรับยาสมุนไพร(ที่มีงานวิจัย) โดยผมก็ได้ทำการกดจุและฝังเข็มให้ด้วยตัวเอง โดยคุณพ่อผมสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ โดยในวัย 90 ปี ก็ยังสามารถขับรถยนต์ด้วยตัวเองได้อยู่

ปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว อายุ 93 ปีแล้ว ที่คุณพ่อผมยังดำรงชีวิตอยู่โดยไม่มีการคีโมหรือฉายแสงใดๆ และสามารถอยู่ในเกณฑ์การควบคุมโรคมะเร็งได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคมะเร็งเลย

และข้อสำคัญไม่เคยมีประวัติว่ามีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจมาก่อนเลยทั้งชีวิตทั้งก่อนป่วยและหลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง

คุณพ่อผมในวัย 93 ปี สมาชิกในครอบครัวได้พิจารณาตัดสินใจให้ฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2564 แพทย์วินิจฉัยให้ฉีดวัคซีนได้

และในคืนนั้นเองคุณพ่อผมไอทั้งคืน และพอตื่นเช้ามาไอรุนแรงขึ้น ดูเหนื่อยหอบ และวัดความอิ่มออกซิเจนปลายนิ้วได้ต่ำกว่า 93% จึงตัดสินใจส่งตัวที่โรงพยาบาลในวันเดียวกัน

ผลปรากฏว่าไม่พบว่าติดเชื้อโควิด-19 แต่มีภาวะปอดอักเสบ และต้องเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤติ แพทย์ควบคุมการให้อาหารและยาทุกชนิด ไม่สามารถเดินออกกำลังกายกระตุ้นการทำงานแบบเดิมได้ ไม่สามารถได้รับยาสมุนไพรแบบเดิมได้ เพราะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ทั้งหมด

เสมหะมากขึ้นเรื่อยๆ ติดเชื้อง่ายขึ้น ร่างกายอ่อนแอลง ได้รับยาฆ่าเชื้อติดต่อกันหลายเดือนซ้ำแล้วซ้ำอีก และยังเกิดอาการสำลักง่ายขึ้นกว่าก่อนเข้าโรงพยาบาลอย่างมากและต้องใช้เครื่องดูดเสมหะทั้งวันและกลางคืนหลายๆครั้งจนพักผ่อนได้น้อยลง

หลังจากนั้นปัญหาก็ดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

แพทย์ต้องให้อาหารทางสายยางจากจมูกลงกระเพาะ ต้องสอดท่อของเครื่องหายใจและดูดเสมหะในห้องผู้ป่วยวิกฤติแทนเพื่อให้นอนหลับได้แทนการใช้สายยางดูดเสมหะจากปากลงหลอดลม และในที่สุดแพทย์ในโรงพยาบาลก็ไม่ให้ใครเยี่ยมแม้แต่คนในครอบครัวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิดนับเป็นเดือน

และสุดท้ายครอบครัวก็ต้องยอมให้ “เจาะคอ”เพื่อแลกกับการดูดเสมหะง่ายขึ้น เพื่อที่จะได้ย้ายห้องจากห้องวิกฤติมาห้องผู้ป่วยธรรมดา เพื่อให้พวกเราได้เยี่ยมและบริหารจัดการบางอย่างได้บ้าง และสิ่งที่ได้กับมาคือ “แผลกดทับ” ขนาดใหญ่และลึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต

จนปัจจุบันจะครบ 4 เดือนนับตั้งแต่ฉีดวัคซีน คุณพ่อผมยังไม่ได้กลับบ้าน และยังต้องอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลเอกชนย่อมสูงตามไปด้วย

และต่อมาทำให้ทราบว่าผู้สูงวัยที่เป็นดังกรณีของคุณพ่อของผมที่เกิดอาการเช่นนี้ไม่ได้เป็นกรณีกับคุณพ่อของผมครอบครัวเดียว แต่ได้ทราบว่ามีผู้สูงวัยท่านอื่นมีอาการแบบเดียวกัน และเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนเช่นกัน และเสียชีวิตแล้วก็มี และแพทย์ก็กล่าวโทษไปเรื่องอื่นๆ ว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งทำให้สถิติความเสี่ยงที่น้อยอาจไม่สะท้อนความเป็นจริงก็ได้

ผมมาทบทวนงานวิชาการย้อนหลัง จึงได้ข้อคิดว่าผู้สูงวัยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่เหมือนคนหนุ่มสาว และมีเหตุผลของการบริหารระบบภูมิคุ้มกันตามวัย “อย่างจำกัด” โดยเฉพาะเอ็นเคเซล (NK Cell) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยในการต้านมะเร็งที่อาจลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นการกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจงอาจนำมาสู่การเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมที่มีอยู่อย่างจำกัดได้

โดยเฉพาะเมื่อวัคซีนในโรคอุบัติใหม่ยังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ต่อระบบภูมิคุ้มกันที่มีการทำงานอย่างสลับซับซ้อน และยังไม่สามารถอธิบายได้หมดอย่างโควิด-19

ในเวลานี้ผมคงย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีก ได้แต่นำกรณีศึกษานี้เป็นบทเรียนให้กับสังคมและสาธารณชน และหวังว่าคนที่ได้รับผลกระทบทั้งหลายจะได้ช่วยกันส่งข้อมูลและบันทึกให้สังคมได้รับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งให้ตระหนักมากขึ้น เพื่อจะได้บริหารจัดการและตัดสินใจกรณีผู้สูงวัยที่มีโรคเรื้อรังหรือเปราะบางได้ดีขึ้นกว่าเดิมต่อไป และให้ภาครัฐมีนโยบายรับผิดชอบบรรเทาหรือเยียวยาความเสียหายหรือกำหนดมาตรการป้องกันให้กับประชาชนต่อไป

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษพ้นธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต




กำลังโหลดความคิดเห็น