xs
xsm
sm
md
lg

ชัยชนะที่ยังมองไม่เห็น และชะตากรรมของคนหนุ่มสาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”

ฝ่ายที่สนับสนุนม็อบคนรุ่นใหม่ พวกทะลุฟ้า ทะลุแก๊ซ คงจะมั่นใจว่าบ้านเมืองไม่อาจต้านทานเสียงเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้แล้ว เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวในอดีตที่เรียกว่าคนเดือนตุลาที่เชื่อว่าบ้านเมืองตอนนั้นไม่อาจต้านทานเสียงเรียกร้องและการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นเขาได้ แต่แล้วพวกเขาก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ

เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างของรัฐในรอบนี้จะจบลงอย่างไร แต่สิ่งที่เราเห็นเบื้องหน้าของคนหนุ่มสาวหลายคนก็คือ คดีความจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ว่า ถ้าพวกเขาจะหลุดรอดจากความผิดไปได้นั้นน่าจะมีทางเดียวคือต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐมาให้ได้และตั้งตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์แบบที่ทหารยึดอำนาจและนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง

แล้วรูปแบบการต่อสู้ที่พวกเขาดำเนินอยู่ ข้อเรียกร้องที่ไม่สุกงอม การต่อต้านจากประชาชนในชาติอีกจำนวนมาก มันจะมีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะมีชัยชนะสำเร็จที่เรียกว่าการปฏิวัติของประชาชน

แต่ถ้ายึดอำนาจรัฐไม่ได้ลองทายสิว่าระดับแกนนำอย่าง อานนท์ เพนกวิน รุ้ง มาย ไผ่ ฯลฯ จะติดคุกกันคนละกี่ปี และสุดท้ายพวกเขาจะรอคอยการพระราชทานอภัยโทษไหม

เพราะบทเรียนที่เห็นแล้วจากพันธมิตรฯ นปช. กปปส.ในการลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐ ก็คือ การถูกจองจำ ขณะที่ข้อเรียกร้องไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป และสังคมยิ่งมีความแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น นับจากวันนี้ร่วม20ปีแล้ว แต่คนสองขั้วสองฝั่งยิ่งมีความเกลียดชังมากขึ้นเรื่อยๆ ฝั่งหนึ่งดูถูกว่าพวกสลิ่มไม่มีความคิด ฝั่งหนึ่งดูถูกพวกควายแดงควายส้มสามกีบว่าไม่มีความคิด และต่างมองฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกทำให้บ้านเมืองไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า

ในขณะที่การต่อสู้ของคนรุ่นนี้ไปไกลถึงท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ท้าทายระบอบของรัฐในขณะที่ในอดีตนั้นจำกัดวงการต่อสู้อยู่แค่อำนาจรัฐ

และที่เห็นพัฒนาการของคนรุ่นใหม่อีกอย่างก็คือ การเปิดบัญชีธนาคารของตัวเองเพื่อการรับบริจาคและกระทำกันเกือบทุกคนในบรรดาแกนนำหลักๆ ขณะที่ในอดีตนั้นแกนนำผู้ชุมนุมจะให้ความระมัดระวังค่อนข้างมากกับเรื่องนี้ น่าจะเพราะคนรุ่นใหม่เขามีมุมมองและกรอบความคิดแบบใหม่

โดยมีพวกผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งคอยยุยงให้ท้ายเพื่อเชิดชูว่าการแสดงออกของคนรุ่นใหม่นั้นเป็นวีรกรรมที่ควรได้รับการยกย่องเชิดชู แต่พวกที่ยกย่องเชิดชูรู้ว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำอยู่นั้นมีความผิดทางกฎหมาย เพราะวันนี้เราเห็นพวกเขากล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ด้วยการเหยียดแคลนดูหมิ่นหมิ่นประมาทมากขึ้นอย่างชัดเจน และดูเหมือนใครพูดได้รุนแรงมากเท่าไหร่คนนั้นจะได้รับการยกย่องมากขึ้น

แต่ในขณะที่เขาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงสังคมและจะนำพาสังคมไปตามแนวคิดของพวกเขา เรากลับเห็นการแสดงออกของพวกเขาที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรที่เคร่งครัดทั้งการพูดที่ไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระและเน้นความหยาบคาย และการแสดงออกที่เน้นความรุนแรง เช่นพวกทะลุแก๊ซที่ทั้งเผาทำลาย ใช้ระเบิดมือ ปะทัดยักษ์ พลุไฟ หนังสติ๊กลูกแก้ว ปืน ฯลฯ โดยมีพวกที่เรียกตัวเองว่าสื่อคอยรายงานสดแบบเรียลริตี้โชว์ทุกวัน

เผาหมดเท่าที่เผาได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรจึงไม่เว้นแม้แต่แผงควบคุมของทางด่วน ตู้ควบคุมจราจร หรือระบบควบคุมการระบายน้ำในอุโมงค์ทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้อเรียกร้องและการชุมนุมเลย

แต่เราก็เห็นพวกเขาเรียกคนเหล่านี้ว่า เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเด็กแว้น คึกคะนองไปทางถ่อยเถื่อนอันธพาลเท่านั้นเอง

ปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งแอบอยู่ข้างหลังเด็กๆ เหล่านี้บอกว่า นี่คือการลุกขึ้นสู้แบบปฏิวัติ

เขาบอกว่า พวกนี้คือกลุ่มคนที่เกิดจิตสำนึกของการต่อสู้กับระบอบอันอยุติธรรม ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยใด และไม่ว่าจะเกิดเมื่อไร แต่จิตสำนึกนี้ได้กระตุ้นให้พวกเขาพร้อมเข้าเสี่ยงสู้กับอำนาจรัฐ อำนาจกฎหมาย เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่บางครั้งอาจเสี่ยงตาย บาดเจ็บ ยินยอมเข้าเสี่ยง เพราะไม่ต้องการปล่อยให้ความอยุติธรรมนี้ดำรงต่อไป

ไม่แปลกหรอกที่ปิยบุตรจะคิดแบบนี้ เพราะเขาหมกมุ่นอยู่กับการปฏิวัติรัสเซียและฝรั่งเศสที่จบลงด้วยการโค่นล้มระบอบกษัตริย์ แต่เขาไม่กล้าที่จะออกมานำด้วยตัวเอง แต่ใช้วิธีเชิดชูให้ท้ายคนที่ออกมาต่อสู้กับอำนาจรัฐปัจจุบันว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เห็นอะไรก็ตบเข้าเป็นการปฏิวัติประชาชน ทั้งที่เงื่อนไขและความจริงแตกต่างกันราวขาวกับดำ

นอกจากปิยบุตรแล้ว อาจารย์มหาวิทยาลัย นักการเมือง และสื่อมวลชนหลายคนที่หนุนหลังคนรุ่นใหม่เหล่านี้ก็รู้กลไกโทษทัณฑ์ของรัฐก็ไม่กล้าที่จะออกมานำหน้าม็อบด้วยตัวเอง ได้แต่คอยยุยงชื่นชมคนรุ่นใหม่เหล่านี้ให้มีความฮึกเหิมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใครพูดจารุนแรงก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาเท่าไหร่คนนั้นก็จะได้รับการชื่นชมเชิดชูมากขึ้นกว่าคนอื่น ว่าสิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำให้เกิดขึ้นก็คือ การทะลุเพดานของสังคมไทยที่ไม่มีวันหวนกลับไปแบบเดิมอีกแล้ว เหมือนที่เชิดชูเพนกวินให้ได้รางวัลจารุพงษ์ ทองสินธุ์ อดีตนักศึกษามหาวิทยาธรรมศาสตร์ที่เสียชีวิตในวันที่ 6 ตุลาคม 2519

หรือคอยประสานกับเครือข่ายต่างประเทศเพื่อให้รางวัลกับคนหนุ่มสาวที่พวกเขาใช้เป็นเหยื่อออกมาเคลื่อนไหว เพื่อให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้เดินหน้าทะลุดุดันไปเรื่อยๆ คอยปลอบใจว่าจะมีฝ่ายกฎหมายเข้าไปดูแลไม่ทอดทิ้ง ซึ่งจะต้องดูผลอีกยาวนานหลายปีว่าจะดูแลกันไปได้ตลอดไหม เพราะเมื่อไม่มีมวลชนแห่แหนแล้วจะเหมือนกับยืนอยู่โดดเดี่ยวหน้าบังลังก์ศาล

แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าสุดท้ายพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะเวลาเป็นของพวกเขา โดยหารู้ไม่ว่าเวลาไม่มีได้มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ไม่แน่เสมอไปว่าคนรุ่นใหม่จะมีเวลามากกว่าคนรุ่นเก่า ตอนคนหนุ่มสาวเดือนตุลาในอดีตออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปตามเพื่อนบ้านอินโดจีนพวกเขาก็เชื่อว่าตัวเองเป็นปิศาจของกาลเวลา แต่สุดท้ายผลของการต่อสู้ของพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและพบกับความล้มเหลว

วันนี้คนรุ่นนั้นที่ยังคั่งแค้นอยู่ก็เอาความเคียดแค้นมาให้กับคนหนุ่มสาวที่เขาควรจะมีชีวิตที่ดีกว่าการเข้าไปอยู่ในคุกในตะราง ไม่แน่ว่าถ้าพวกเขาดำเนินชีวิตไปตามปกติวันข้างหน้าเขาอาจจะกลายเป็นพลังสำคัญของความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยที่เป็นไปตามพลวัตของมันไม่ใช่รับเอาความเจ็บแค้นฝังใจของใครมาที่พวกเขาถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหักด้ามพร้าด้วยเข่าหรือเอาหัวพุ่งชนกำแพง

นอกจากข้อเรียกร้องที่ตั้งเป็นธง 3 ข้อและท่องจำกันแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่เชื่อมโยงกับข้อเรียกร้องได้เลย ม็อบจึงมีแต่การด่าทอหรือแสดงออกรุนแรงด้วยการสาดสียิงพลุไฟ ทุบรถ และชื่นชมการแก้ผ้าว่าเป็นเสรีภาพจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ยุยงอยู่ในห้องเรียน แต่ไม่ยอมออกมาแสดงเสรีภาพอย่างที่ว่าเสียเอง

อาจจะไม่ใช่คนหนุ่มสาวยุคนี้ทั้งหมดที่ถูกปั่นความคิดให้เตลิดไปแบบนี้ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นคนส่วนใหญ่จนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรุ่นก็ได้ ยังไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายจะจบลงอย่างไร แต่ก็ต้องภาวนาว่าอย่าให้มีโศกนาฏกรรมแบบในอดีตเกิดขึ้นอีก

ก็ได้แต่ภาวนาว่าวันหนึ่งพวกเขาจะคิดได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของสังคมนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีเงื่อนไขสุกงอมและคนในสังคมมีมติร่วมกันถึงวันนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะมาขวางมติของประชาชนได้ แน่นอนอำนาจของประชาชนเป็นใหญ่ แต่วันนั้นไม่ใช่วันนี้ที่มีแต่ความหลงผิดคิดจะเอาแต่ตามใจตัวเอง

คนหนุ่มสาวจะรู้ไหมว่าวันนี้พวกเขาเป็นเพียงเหยื่อของความเคียดแค้นของผู้ใหญ่บางกลุ่มและคนที่หมกหมุ่นกับระบอบสาธารณรัฐเพื่อใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan





กำลังโหลดความคิดเห็น