เปิดฉากสัปดาห์นี้...สงสัยคงหนีไม่พ้นต้องแวะไปดูความเคลื่อนไหวในเรื่อง “พลังงาน”ประเภทเรื่องน้ำมัน เรื่องแก๊ส ไปจนถึงเรื่องถ่านหิน ฯลฯ โน่นเลย เพราะบรรดาสิ่งที่ใครต่อใครต่างเรียกขานกันในนาม “พลังงานฟอสซิล”หรือ “พลังงานสกปรก” และต่างเพียรพยายามที่จะหาทาง “ลด-ละ-เลิก”ให้จงได้!!! เพื่อไม่ให้ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ อันนำมาซึ่งความวิปริต ผันผวน ของโลกทั้งโลกยิ่งเข้าไปทุกที ถึงขั้นไม่น้อยกว่า 124 ประเทศ ที่พยายามร่วมมือหาทาง “ขจัดภาวะโลกร้อน” เนื่องจากสาเหตุดังกล่าวอย่างเป็นขั้น เป็นตอน แต่สุดท้าย...มันอาจกำลังก่อให้เกิด “ปัญหา” ต่อโลกทั้งโลกขึ้นมาจนได้!!!
คือไม่ว่าจะเป็นยุโรปทั้งยุโรป ที่พยายามออกกฎโน่น กฎนี่ เพื่อหาทางลดการใช้พลังงานประเภทนี้ หรือตั้งเป้า ตั้งความหวัง ว่าจะทำให้ประเทศตัวเองและโลกทั้งโลก “สะอาด”ขึ้นไปตามลำดับ ไปจนถึงคุณพี่จีน ที่มองยาว มองไกล ไปถึงขั้นกะจะสร้างสรรค์ประเทศสังคมนิยมแห่งนี้ ให้ก้าวไปสู่ความเป็น “อารยธรรมแห่งนิเวศ” (Ecological Civilization) ให้จงได้ แม้ว่าก่อนหน้านั้น จะถือเป็นประเทศที่แพร่มลพิษ ปล่อยมลภาวะ ระดับพอๆ กับคุณพ่ออเมริกา ในช่วง “ระยะผ่าน”จากขั้นตอนความเป็นทุนนิยมไปสู่สังคมนิยมก็แล้วแต่ แต่ไปๆ-มาๆ ในช่วงระหว่างนี้ หรือช่วงหน้าหนาวคราวนี้ บรรดาความมุ่งมั่น ความปรารถนาดี ในลักษณะดังกล่าว มันอาจไม่ถึงกับสอดคล้องกับ “ความจริง” กับ “ข้อเท็จจริง” ในความเคลื่อนไหวความเป็นไปของโลกกันสักเท่าไหร่นัก หรือกำลังก่อให้ “ปัญหา”ไม่ว่าต่อยุโรป ต่อจีน อันอาจลุกลามไปถึงต่อโลกทั้งโลก จนอาจต้องหาทางปรับ หาทางเปลี่ยน หรือไม่งั้นก็ต้องหันมายอมรับ “ความจริงอันปวดร้าว”อย่างมิอาจปฏิเสธได้???
เพราะคงพอเป็นที่รับรู้ รับทราบ จากข่าวล่า-มาเรือ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ช่วงเดือน-สองเดือนที่ผ่านมา ความขาดแคลน “พลังงาน” ในยุโรป ในจีน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน มันถึงกับทำให้บรรดาประเทศเหล่านี้แทบ “ไปไม่เป็น” เอาเลยก็ว่าได้ ยุโรปนั้น...ราคาแก๊สพุ่งขึ้นไปถึง 1,200 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร หรือพุ่งขึ้นไปถึง 250 เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นเนเธอร์แลนด์ ที่ราคาพุ่งจู๊ดไปถึง 1,199.44 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร หรือสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่เคยต่ำเตี้ย เรี่ยดิน มาก่อนหน้านี้ เด้งกลับไปอยู่ที่ 80 ดอลลาร์กว่าๆ ต่อบาร์เรล หรือสูงสุดในรอบ 3 ปี ส่งผลให้การผลิตและการขนส่งสินค้าต่างๆ ต้องใช้ “ต้นทุน” เพิ่มขึ้นๆ อย่างมิอาจปฏิเสธได้ จนภาวะอัตราเงินเฟ้อ ที่เคยอยู่ที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์มาก่อนหน้านั้น เด้งพรวดพราดขึ้นมาเป็น 3.4 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดือนกันยาฯ ที่ผ่านมา ตามตัวเลขสถิติของ “European statistic agency” หรือ “Eurostat” เรียกว่า...แทบใกล้ๆ เมื่อครั้ง “วิกฤตการเงิน” ปี ค.ศ. 2008 ที่อยู่ที่ประมาณ 3.6 เปอร์เซ็นต์เต็มที แถมถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ของธนาคารกลางยุโรป หรือ “ECB” (European Central Bank) โอกาสที่ภาวะเงินเฟ้อในยุโรปสิ้นปีนี้ จะพุ่งขึ้นไปถึง 4 เปอร์เซ็นต์ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
ส่วนคุณพี่จีน...ก็คงไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่นัก หรือเผลอๆ อาจหนักกว่าเอาเลยก็ไม่แน่ เพราะถึงขั้นมณฑลต่างๆ ไม่น้อยไปกว่า 20 มณฑล กำลังเจอกับปัญหาขาดแคลนพลังงานฟอสซิลเหล่านี้ เอามาใช้หล่อเลี้ยงโรงงานผลิตสินค้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะแจกจ่ายไปยังโลกทั้งโลก ในฐานะที่ได้ชื่อว่า “โรงงานของโลก” หรือในฐานะที่เป็นศูนย์รวมแห่ง “ห่วงโซ่อุปทาน” ไปจนถึงบรรดาบริษัท ห้างร้าน หรือการใช้โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ที่ต่างต้องพึ่งพากระแสไฟฟ้าด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น...เมื่อต้องเจอกับ “ไฟฟ้าดับ” กันเป็นช่วงๆ เป็นวันๆ คืนๆ หรือระดับเป็นอาทิตย์-สองอาทิตย์เอาเลยก็ยังมี บรรดาโรงงานต่างๆ ในจีน ไม่ว่าโรงงานเหล็ก อะลูมิเนียม เคมีไฟเบอร์ หรือซีเมนต์ ฯลฯ ที่เคยต้องใช้ “ถ่านหิน” เป็นพลังงานถึง 57 เปอร์เซ็นต์ เลยต้องหันมาลดการผลิต ลดชั่วโมงการทำงาน ส่งผลบรรดาสินค้าต่างๆ เกิดความขาดแคลนจนระดับราคาพุ่งขึ้นไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย อัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่เคยคาดๆ กันเอาไว้ว่า น่าจะโตได้ไม่น้อยไปกว่า 8.2 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ ถูก “Goldman Sachs” และ “Nomura and Fitch”ปรับลดลงมาเหลือแค่ 7.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ส่งผลให้คุณพี่จีนต้องวิ่งจู๊ดไปพึ่งพาหมีขาวรัสเซียเช่นเดียวกับบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย...
คือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะความมุ่งมั่น ความปรารถนาดีดังกล่าว ไม่ว่าความพยายามที่จะลดการปลดปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศให้ถึงจุดสูงสุดก่อนปี ค.ศ. 2023 ของจีน หรือความพยายามหันมาใช้ “พลังงานหมุนเวียน-พลังงานสะอาด”ของยุโรป มันอาจยังไม่ถึงสอดคล้องไปกับความจริง ข้อเท็จจริงภายในสังคมของแต่ละราย ที่ยังหนีไม่พ้นต้องพึ่งพา “พลังงานสกปรก” หรือ “พลังงานฟอสซิล”อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรืออาจต้องหันไป “กระจายความเสี่ยงด้านพลังงาน” ใช้ช่วงระยะปรับเนื้อ ปรับตัว ที่ยาวไกลเกินไปกว่านี้ มันถึงจะไม่ก่อให้เกิด “ปัญหา”ที่กำลังนำมาซึ่งความปั่นป่วน วุ่นวาย ในจีน ในยุโรปหรือในระดับโลกทั้งโลก อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้...
แต่ก็นั่นแหละ...ยิ่งต้องใช้เวลามากมายยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ยิ่งต้องหันไปพึ่งพา “พลังงานฟอสซิล”ต่อไปอีกมาก-น้อยขนาดไหน โอกาสที่โลกทั้งโลกจะ “ฉิบหาย” ไปก่อนหน้านั้น ตามข้อมูล หลักฐาน ข้อพิสูจน์ของบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมยิ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่ทำไงได้!!!...ในเมื่อการกิน การอยู่ การบริโภค ของมนุษย์มนาทั่วทั้งโลก ที่ไม่ต่างอะไรไปจาก “ฝูงตั๊กแตน” จำนวนมหึมา ยิ่งกว่ายุค “ท่านมหาตมะ คานธี”ผู้เคยอุปมา-อุปไมยไว้ถึงเรื่องราวทำนองนี้ไปแล้วไม่รู้จะกี่เท่าต่อกี่เท่า ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันก็เลยอาจต้องไหลไปตามความจริง ข้อเท็จจริง ดังที่เอกสารชิ้นล่าสุดของกลุ่มประเทศ “OPEC”หรือ “World Oil Outlook” ปีนี้ ได้คาดการณ์เอาไว้เมื่อวันอังคาร (28 ก.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า โลกยังคงต้องใช้ “น้ำมัน” เป็นตัวหล่อเลี้ยงการผลิตต่างๆ ไม่น้อยกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณความต้องการไปจนถึงปี ค.ศ. 2045 หรืออีก 24 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย และนั่นเองที่ทำให้การหันมาลงทุนในกิจการน้ำมันประมาณ 11.8 ล้านล้านดอลลาร์นับจากปีนี้จนถึงปี ค.ศ. 2045 จึงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้บรรดาประเทศต่างๆ ในโลกนี้ พยายามหันไปใช้ “พลังงานสะอาด” หรือ “พลังงานหมุนเวียน” เพียงใดก็เถอะ แต่การก่อให้เกิดอุปสรรคขัดขวาง หรือการลดการลงทุนในกิจการประเภทนี้ อาจนำมาสู่ “ความเสี่ยงและความไร้เสถียรภาพต่อภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองของโลกทั้งโลก” เอาเลยก็เป็นได้ อันนี้...ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของ “นายMohammad Barkindo” เลขาธิการโอเปก เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วย “ข้อเท็จจริง”อันสุดแสนจะเจ็บปวดรวดร้าว เช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้การหา “จุดลงตัว” ในการมีชีวิตอยู่ภายในโลกใบนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กันมากมายสักเท่าไหร่นัก การเผชิญกับไฟป่า คลื่นความร้อน ความเร่าร้อน รุนแรง ของพายุในแต่ละลูก ฯลฯ ที่ทำให้ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ต่างแทบ “ไปไม่เป็น”ไปด้วยกันทั้งนั้น อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ที่โลกทั้งโลกต้องหาทางร่วมมือ ร่วมใจ ลด-ละ-เลิก กันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่เมื่อต้องมาเจอกับภาวะขาดแคลนพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ ภาวะขาดแคลนสินค้าจากการผลิตของธุรกิจห่วงโซ่อุปทานที่กำลังก่อให้เกิด “ปัญหา” ไปในระดับทั่วทั้งโลก อย่างเห็นได้ชัดเจน หรืออย่างมิอาจปฏิเสธได้ มันก็เลยแทบไม่ต่างอะไรไปจากการเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 นั่นแหละทั่น!!! ที่การหา “จุดลงตัว” ระหว่างการ “ป่วยตาย” กับการ “อดตาย”กำลังทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโลกเหนือ-โลกใต้ โลกรวย-โลกจน หรือแม้แต่โลกประชาธิปไตย-โลกเผด็จการ ฯลฯ ต่างก็ “ไปไม่เป็น”กันไปเป็นแถบๆ!!!