เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านที่สนใจติดตามข่าวสาร คงได้อ่าน ได้ฟังข่าวพระภิกษุ 2 รูปแห่งวัดสร้อยทองคือ พระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง นักเทศน์ชื่อดัง ทำรายการไลฟ์สดทางโซเชียล มีเดีย ในรูปแบบตลกขบขันเฮฮาชนิดที่ชาวพุทธผู้รู้ และเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ได้ฟังแล้วรับไม่ได้ ทั้งรูปแบบและเนื้อหาของรายการ จึงได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงคัดค้านไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า เป็นรายการตลกโปกฮามากกว่าที่จะเป็นรายการเผยแผ่ธรรมะ ซึ่งดำเนินรายการโดยพระภิกษุ และที่เห็นว่าไม่เหมาะ ไม่ควรอย่างยิ่งก็คือ ทั้งเทศน์และพฤติกรรมแสดงออกของผู้ดำเนินรายการน่าจะเป็นคฤหัสถ์ ซึ่งมีอาชีพเป็นนักแสดงตลกมากกว่าที่จะเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งจะต้องสำรวมกายและวาจาให้อยู่ในกรอบแห่งศีล 227 ข้อ
แต่ในขณะที่ชาวพุทธส่วนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระภิกษุ 2 รูปดังกล่าวข้างต้น ก็ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งซึ่งก็เป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้นับถือพุทธ ทั้งในประเทศและนอกประเทศโดยรวม ได้แสดงความเห็นในเชิงบวกคือ เห็นด้วยกับการกระทำของภิกษุทั้งสองรูปที่ว่านี้ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการสอนธรรมะที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ แต่ไม่พูดถึงพฤติกรรมในการแสดงออกของพระภิกษุทั้งสองรูป ในแง่ของพระธรรมวินัยว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ประการใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นที่ว่า การกระทำของภิกษุดังกล่าวเข้าข่ายผิดพระวินัยหรือไม่ และพฤติกรรรมเช่นที่ว่านี้ ทำให้ชาวพุทธผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เสื่อมศรัทธาหรือไม่
จากการที่ชาวพุทธแบ่งออกเป็นสองฝ่ายข้างต้นนี้เอง ผู้เขียนเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่องค์กรปกครองสงฆ์คือ เถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะต้องลงมาแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิดสืบเนื่องมาจากรูปแบบของพระสอนธรรมะของภิกษุทั้งสองรูปดังกล่าว โดยการสอบสวนและตัดสินเรื่องนี้โดยการยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก และพบว่า มีความผิดก็ควรลงโทษโดยยึด พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามของพระศาสนา
แต่เท่าที่ปรากฏจากวันที่ที่พระภิกษุทั้งสองรูปดำเนินรายการมาจนถึงวันนี้ ไม่เห็นมีท่านใดจากองค์กรปกครองสงฆ์ทำการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้กระทั่งล่าสุดมีข่าวออกมาว่า มีผู้นำรองเท้ายี่ห้อดังมีราคาแพง และเป็นที่นิยมของคฤหัสถ์ โดยนั่งประเคนและมีการแพร่ภาพทางสื่อเข้าทำนองโปรโมตสินค้า ซึ่งดูแล้วไม่แตกต่างไปจากดาราดังรับจ้างโฆษณาสินค้า จะต่างกันก็เพียงเพศภาวะเท่านั้น
แต่ที่สำคัญไปกว่านี้ ถ้าภิกษุ 2 รูปนี้นำไปใช้ก็เข้าข่ายผิดพระวินัยที่ห้ามมิให้พระภิกษุใช้รองเท้าที่คฤหัสถ์นิยมใช้กัน ดังปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 5 หมวดว่าด้วยหนังสือหรือจัมมขันธกะความว่า
“ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้รองเท้าสีต่างๆ มีผู้ติเตียนจึงทรงห้ามใช้ เธอใช้หูรองเท้า (ประกอบรองเท้าคีบ) สีต่างๆ มีผู้ติเตียน ก็ทรงห้ามอีก เธอยักย้ายไปใช้รองเท้าลักษณะต่างๆ เช่น รองเท้าปิดส้น ปิดหลังเท้า และรองเท้าสวยงาม ประดับประดาต่างๆ ซึ่งคฤหัสถ์นิยมใช้กัน ก็ทรงห้ามทั้งหมด นอกจากนั้น ยังทรงห้ามรองเท้าที่ทำด้วยหนังสัตว์ ซึ่งคฤหัสถ์ในสมัยนั้นใช้กันเช่น รองเท้าทำด้วยหนังราชสีห์ เสือโคร่ง และอูฐ เป็นต้น”
จากภาพที่ปรากฏตามข่าว จะเห็นได้ว่าเข้าข่ายเป็นรองเท้าต้องห้ามชัดเจน ดังนั้น สรุปได้ว่า พระภิกษุ 2 รูปนี้ต้องอาบัติในลักษณะรู้แล้วแต่ขืนทำ โดยไม่มีหิริและโอตตัปปะ จึงเป็นการไม่เคารพพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นศาสนาแทนพระพุทธองค์แน่นอน ตามนัยแห่งพุทธพจน์ที่ว่า “โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา แปลโดยใจความว่า ดูก่อน อานนท์ ธรรมและวินัยอันใดที่เราตถาคตแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งธรรมและวินัย อันนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว