เมื่อหัวหน้ารัฐบาลทำตัวเป็นอำมาตย์เดินทางสำรวจน้ำหลาก ทำหน้าฉากเป็นการเร่งเดินสายหาเสียงเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป จึงต้องมีขบวนการจัดคณะเสริมบารมี โดยการให้ ส.ส. ผู้แทนราษฎรเดินทางไปห้อมล้อมชื่นชมบารมีให้ชาวบ้านได้รับรู้ ขอเสียงด้วย
ยิ่งช่วงนี้มีเสียงร่ำลือหนักเรื่องความขัดแย้งกินแหนงแคลงใจในกลุ่ม 3 ลุง ทำเอาเข้าหน้ากันไม่ติด แม้จะมีคำพูดรับประกันว่าลุงใหญ่และลุงเล็กยังรักกันดีอยู่เหมือนเดิม มองตาก็รู้ใจ อย่างนั้นเลย แต่ไม่รู้ว่าซึ้งถึงขนาดมองหัวใจก็เห็นหัวแม่ตีนด้วยหรือเปล่า
มันเป็นพฤติกรรมอุจาดทางการเมืองเมื่อโต้โผจัดคิวได้วางตัว ส.ส.นักเลือกตั้งให้ร่วมขบวนไปกับ 2 ลุง เมื่อไปตรวจพื้นที่น้ำท่วม ว่าต้องให้มีสัดส่วน ส.ส.จำนวนเท่ากัน เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการแข่งขันประชันบารมี ประลองพลังว่าใครมี ส.ส.มากกว่า
เริ่มกันรอบแรก ลุงใหญ่มี ส.ส.ไปร่วมที่อยุธยา 55 คน ลุงเล็กไปเพชรบุรีมี ส.ส.ไปร่วมเพียง 11 ราย เทียบชั้นกันไม่ได้ ในใจเคืองหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่เรื่องไม่จบ
สาเหตุมาจากการที่ลุงเล็กห้าวเป้งหัวหน้ารัฐบาลได้ปลดผู้กองและแม่นางตาวาวออกจากตำแหน่งเสนาบดีหลังงานอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยไม่บอกกล่าวลุงใหญ่ล่วงหน้า ทำกันอย่างนี้ย่อมทำให้ลุงใหญ่เคือง เพราะทั้งคู่เป็นกล่องดวงใจซ้าย-ขวาของตัวเอง
จัดการผู้กองพอจะเข้าใจ เพราะโดนกล่าวหาว่าคิดจะแข็งเมือง ทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ เก็บไว้ไม่ได้ แต่ลุงเล็กไปเล่นงานแม่นางตาวาวด้วยนี้ซิ ไม่มีเหตุผลชี้แจงให้ชัดว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมต้องไปรังแกแม่นางตาวาวของลุงใหญ่ด้วย
ทำแบบนี้มันหยามน้ำหน้ากันเกินไปหรือเปล่า ไม่บอกกล่าวกันสักคำ เพราะแม่นางเป็นเหรัญญิกของพรรค ผู้กองก็เป็นเลขาธิการพรรค แต่ลุงเล็กผู้นำรัฐบาลไม่เป็นสมาชิกพรรค ไม่เป็น ส.ส.ไม่เกี่ยวอะไรในพรรคด้วยซ้ำ ยังทำกันได้
นับตั้งแต่อาการเคืองหลายวัน ทั้ง 2 ลุง แถมโฆษก ผลัดกันออกมารับประกันว่าทั้ง 2 ลุงยังรักกันดี ไม่มีอะไร อยู่ร่วมกันมานานกว่า 50 ปี รู้ซึ้ง ไม่มีอะไรมาแยกจากกันได้ เว้นแต่ความตาย อันนี้ผิดปกติมาก ถ้าจริง ไม่ต้องพูด แต่พูดย้ำซ้ำซาก แสดงว่าคนไม่เชื่อ
เมื่อไม่เชื่อ คนก็เฝ้ามองท่าทีของทั้งสองฝ่าย ลุงใหญ่มีพรรคมี ส.ส. แต่ลุงเล็กขาลอย มีแต่ลุงกลางซึ่งนิยมตีกิน ชุบมือเปิบ ทั้งคู่ถูกเสียงร่ำลือนินทาว่าไม่คบหา ส.ส.เข้าหาได้ยาก ทำตัวแบบไม่เลี้ยงน้ำ เลี้ยงกาแฟ ทั้งๆ ไม่ได้รับเลือกจากประชาชน หรือโดยวิธีใด
มาจากรัฐประหารต้นทุนต่ำ กำไรสูง ทุกวันนี้ยังโกยไม่เลิก ไม่ยอมวางมือ
เอาเถอะ อยู่ได้ก็อยู่ไป แต่มันมีความอุจาดวิปริตทางการเมือง ในการที่โต้โผหรือหัวหน้าสาย ส.ส.พยายามจัดคิวให้นักเลือกตั้งไปเดินตามประกอบลุงอำมาตย์เมื่อไปตรวจราชการ เยี่ยมเยียนชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมหลายจังหวัด
แบบนี้มันผิดเพี้ยนจากหลักประชาธิปไตยสากล ว่าด้วยการแยกอำนาจ ในบ้านเรามันสับสนปนเปกันมั่ว ไม่รู้จักหน้าที่ รูปแบบการเมืองก็พิกลพิการ วิปริตนั่นเลย
ลุงเล็กห้าวเป้งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ฝ่าย ส.ส.นักเลือกตั้งเป็นสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ชัดเจน มีอีกฝ่ายเป็นตุลาการ ไม่ยุ่งกับใคร ทีนี้มันเรื่องอะไรที่จะเอาสมาชิกนิติบัญญัติไปเดินตามก้นผู้นำฝ่ายบริหารอย่างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนั้น
ในการเมืองพัฒนาแล้ว ผู้นำรัฐบาลจะเกรงใจ ส.ส. และ ส.ว.ดังเช่นสหรัฐฯ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ทำงานคนละหน้าที่ สมาชิกสภานิติบัญญัติสามารถเรียกตัวฝ่ายบริหารไปให้ปากคำได้ แต่ไม่เคยมีฝ่ายบริหารเรียกตัวฝ่าย ส.ส.ไปให้ปากคำ ต่างแยกกันทำหน้าที่
ทำไม ส.ส.ผู้แทนปวงชนชาวไทยจึงต้องเดินตามก้น เป็นลูกไล่ประดับบารมีผู้นำรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามา ไม่ผ่านการทดสอบอะไรทั้งนั้น เป็นผลผลิตจากการรัฐประหารและตีกินสืบทอดยาวอำนาจตลอดมากว่า 7 ปี
ส.ส.มักเรียกตัวเองว่าเป็น “สมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ” ก็น่าจะภูมิใจในเกียรติ สถานภาพและศักดิ์ศรีของตำแหน่งในฐานที่ประชาชนเลือกเข้ามา ไม่มีใครเรียกว่า “นายกรัฐมนตรีผู้ทรงเกียรติ” เพราะมาจากการแต่งตั้ง เลือกตั้ง การรัฐประหาร ก็มี
ความแตกต่างทั้งสถานภาพ การทำหน้าที่เห็นชัดเจน มีแต่ ส.ส.ที่เป็นเพียงนักเลือกตั้ง นักรับกล้วย หรือนักประจบสอพลอรอตำแหน่งหรือผลประโยชน์ เช่นการจัดสรรงบให้พื้นที่เท่านั้นจึงทำตัวไร้ศักดิ์ศรี เดินตามก้นฝ่ายบริหาร สิ้นสภาพความน่าเชื่อถือ
ครั้งนี้เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้รับการจัดสรรแบ่งปันไปเดินตามก้นฝ่ายบริหาร ฝ่ายที่ไปกับลุงป้อม พอเข้าใจได้ เพราะเป็นหัวหน้าพรรค มีอำนาจจะส่งใครลงสมัครหรือไม่ก็ได้ มีความสัมพันธ์กันในฐานะหัวหน้ากับสมาชิกพรรค ไม่มีปัญหา
แต่ความวิปริตอยู่ที่ว่า เมื่อพรรคพลังประชารัฐมีหัวหน้า ตามธรรมเนียมปฏิบัติหัวหน้าพรรคจึงสมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นคู่แข่งชิงเก้าอี้นายกฯ ใช่หรือไม่ เหมือนพรรคอื่นๆ ที่หัวหน้าพรรคมุ่งมั่นจะเป็นผู้นำประเทศ แต่พรรคพลังประชารัฐของลุงไม่ใช่
อย่างนี้จะตั้งพรรคมาทำไม เมื่อต้องพึ่งคนนอกเอามาเป็นนายกรัฐมนตรี?
ดันไปคว้าคนนอกมาเป็นแคนดิเดตคู่ชิงนายกฯ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่เคยลงทุนในพรรค ไม่เคยสุงสิงกับสมาชิก ไม่เคยมาประชุม ไม่เคยคุยด้วยซ้ำ เมื่อเป็นอย่างนี้ เท่ากับเป็นการฟ้องว่าอุตส่าห์ตั้งพรรคมาทั้งที ไม่มีคนในพรรคเป็นนายกฯ ได้
การที่ลุงห้าวเป้งต้องมาเอาใจ ส.ส.ช่วงนี้เพราะต้องการเสียงโหวตในสภาฯ สำหรับกฎหมายสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ ดังนั้นต้องมีเสียงหนุนพอ เพราะยังไม่รู้ว่าผู้กองและ ส.ส.ในสังกัดจะออกฤทธิ์ออกเดชเอาคืนอีกหรือไม่ ใครก็เดาใจผู้กองและลุงใหญ่ไม่ได้เสียด้วย
ลุงห้าวเป้งอยากอยู่กับแกนนำ ส.ส. จึงเหมือนการล็อบบี้ชักชวนให้ไปอยู่พรรคใหม่ ถ้าจะตั้ง เป็นความพยายาม “ตกปลาในบ่อลุงใหญ่” จ้องชุบมือเปิบตีกินทางลัดอีกแล้ว