ปิดท้ายสัปดาห์นี้....ด้วยข่าวที่ออกไปทางดีๆ ออกไปทางสดใส ซาบซ่า หรือพอมีแง่บวกที่อาจช่วยให้เกิดกำลังจิต กำลังใจ ในการสู้กับความผันผวน ปรวนแปร ของโลกเอาไว้มั่ง นั่นก็คือรายงานข่าวล่าสุดของสำนักข่าว “Bloomberg” ที่ได้ระบุเอาไว้ประมาณว่า เมื่อช่วงต้นเดือนกันยาฯ หรือวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา บริษัทธุรกิจพลังงานรายสำคัญของจีน คือบริษัท “CNPC” (China National Petroleum Corp) ได้ตัดสินใจเข้าไปลงทุนในกิจการพลังงาน ในประเทศที่กำลังอดอยากปากแห้ง เศรษฐกิจตกสะเก็ด ระดับเงินเฟ้อนับเป็นพันๆ หมื่นๆ เปอร์เซ็นต์ อย่างประเทศ “เวเนซุเอลา” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!
คือแม้จะเป็นประเทศที่เคยรวยแสนรวยมาก่อน อันเนื่องมาจาก “แหล่งสำรองน้ำมัน” ภายในประเทศที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ เผลอๆ อาจเป็นอันดับหนึ่งของโลกเอาเลยก็ไม่แน่ แต่เหตุที่ต้องหนักไปทาง “รวยแต่มะเขือ” ในช่วงหลังๆ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการคิดจะไปหือรือ ไปท้าทาย ต่อต้าน “ประมุขโลก” หรือมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ดังนั้น...จากการที่เคยผลิตน้ำมันได้วันละนับล้านล้านบาร์เรล หรือ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในยุคอดีตประธานาธิบดี “ฮูโก ชาเวซ” แต่เมื่อต้องเจอกับการ “แซงชั่น” จากคุณพ่ออเมริกา โดยเฉพาะในยุค “ทรัมป์บ้า” ที่ออกจะหนักหน่วง รุนแรง เอามากๆ ไม่เพียงแต่ห้ามซื้อ-ขายพันธบัตรของประเทศเวเนซุเอลาในตลาดต่างๆ ที่อเมริกามีบทบาท ยึดทรัพย์สิน กิจการของบริษัทวิสาหกิจพลังงานผูกขาด อย่าง “PDVSA” (Petroleum de Venezuela) เอาไว้ชนิดไม่ยอมให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป ห้ามไม่ให้ประเทศใดๆ บริษัทธุรกิจใดๆ ไปสั่งซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา แถมยังถึงขั้นแอบส่งใครต่อใครไปก่อการปฏิวัติ-รัฐประหาร คิดจะยึดอำนาจจากประธานาธิบดีคนปัจจุบัน อย่าง “นายนิโคลัส มาดูโร” ซะอีกด้วยต่างหาก เช่นในช่วงเหตุการณ์วันที่ 23 มี.ค. ปี ค.ศ. 2019 เป็นต้น ฯลฯ ฯลฯ...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่การผลิตน้ำมันอันเป็นรายได้หลักของเวเนซุเอลา จึงลดลงฮวบๆ ฮาบๆ นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ปี ค.ศ.2019 ลดลงไปกว่าครึ่งต่อครึ่งเหลือแค่ 1.013 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนปีถัดมาหรือปี ค.ศ. 2020 ลดลงเหลือแค่ 337,000 บาร์เรลต่อวัน แม้จะเขยิบกลับขึ้นมาเป็น 537,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ หรือปี ค.ศ.2021 แต่ก็ยังออกจะหนักหนา-สาหัสอยู่อีกนั่นแหละ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนๆ ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้นำประเทศอย่าง “นายมาดูโร” เลยต้องป่าวประกาศยกเลิกการผูกขาดกิจการน้ำมันให้เป็นเฉพาะของรัฐอีกต่อไป หันมาเปิดบ้าน เปิดประเทศ เชิญชวนให้บรรดา “นักลงทุนต่างชาติ” เข้าไปลงในกิจการพลังงานในเวเนซุเอลาได้โดยเสรี...
แต่ก็อย่างว่า...ในเมื่อยังมีคุณพ่ออเมริกาคอยเหล่ คอยเล่นงานใครต่อใครที่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับศัตรูคู่กัดคู่อาฆาต ที่อยู่แค่ “สวนหลังบ้าน” ของตัวเอง บรรดานักลงทุนต่างชาติโดยส่วนใหญ่ ก็เลยออกจะ “แหยงๆ” ไม่ถึงกับกล้ายื่นมือ ยื่นเท้า เข้าไปในประเทศนี้ นอกเสียจาก “นักลงทุนจากจีน” ที่นอกจากรัฐบาลของตัวเองจะออกมาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วยกับอเมริกาในการแซงชั่นใครต่อใครอยู่ฝ่ายเดียว การนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาเพื่อเอามาใช้หนี้ประเทศจีน วันละประมาณ 100,000 บาร์เรล จึงถือเป็นสิ่งที่ปกติ-ธรรมดา ที่ไม่น่าจะถึงกับต้องไปคัดค้าน ต่อต้าน อะไรกันมากมาย ยกเว้นแต่ผู้ที่ “บ้า” แบบของจริง-ของแท้ อย่าง “ทรัมป์บ้า” เท่านั้น ที่พยายาม “ขึ้นบัญชีดำ” ต่อบริษัทใดๆ ก็ตามที่ไปค้ากับประเทศที่อเมริกาไม่ยอมให้ใครเข้าไปยุ่งด้วย...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่บรรดานักลงทุนชาติอื่นยังคงละล้าละลัง ใจไม่ถึง-ใจไม่กล้า เลยกลับเป็นการเปิดช่อง เปิดโอกาสให้กับ “นักลงทุนชาวจีน” โผล่เข้าไปงาบกิจการพลังงานในเวเนซุเอลาได้แบบเต็มสูบ เต็มด้าม แถมยังไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะกิจการพลังงานเท่านั้น เพราะการได้มีโอกาสเข้าไปเหยียบ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกาได้แบบเต็มเท้า เต็มตีน ยังช่วยให้ “อภิมหาโครงการเปลี่ยนโลก” ของจีน อย่างโครงการ “BRI” (Belt and Road Initiative) ยิ่งไปไกล ไปโลด ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะบริษัทพลังงาน “CNPC” ของจีนเท่านั้น ที่กำลังสยายปีก สยายหาง อยู่ในเวเนซุเอลา บริษัทพลังงานอย่าง “CCPC” (China Concord Petroleum Co.) ของจีน ที่ถูกรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ขึ้นบัญชีดำ เพราะไปนำเข้าน้ำมันจากทั้งเวเนซุเอลาและอิหร่าน ในช่วงปี ค.ศ. 2019-2020 ไม่รู้จะกี่ต่อกี่สิบลำเรือ แต่ด้วยการกล้าที่จะท้าทายต่อความ “บ้า” ใดๆ ก็ตามของอเมริกานี่เอง ที่ทำให้บรรดา “นักลงทุนชาวจีน” ทั้งหลาย เลยกล้าที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศที่ถือเป็นศัตรูคู่กัด คู่อาฆาต ของอเมริกาอีกประเทศหนึ่ง นั่นก็คือประเทศ “อิหร่าน” นั่นเอง...
ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคณะรัฐบาลใหม่ หรือผู้บริหารรายใหม่ของอเมริกา ยังไม่ถึงกับ “บ้า” เท่ากับอดีตประธานาธิบดีคนก่อน โดยจะออกไปทาง “ซึมๆ เซาๆ” หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่ด้วยการแสดงออกถึงทีท่าแบบลดราวาศอก พยายามลดๆความบ้าลงไปซะมั่ง ของ “ผู้เฒ่าโจ” ถึงขั้นคิดกลับไปตั้งโต๊ะเจรจา คิดกลับเข้ามาร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ตามสัญญาที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “JCPOA” จนแม้ตราบเท่าทุกวันนี้ ก็ยิ่งช่วยให้เกิดความฮึกเหิมต่อบรรดานักลงทุนชาวจีน รวมไปถึงรัฐบาลจีน ที่ถูกถือเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของอเมริกาอีกด้วยต่างหาก หรือนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างจีนกับอิหร่าน ในการเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ทางด้านต่างๆ ในช่วงระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับจากนี้ หรือตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2021 เป็นต้นไป อันส่งผลให้บรรดานักลงทุนชาวจีนทั้งหลาย พร้อมที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศนี้ ในมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย และยิ่งจะช่วยให้อภิมหาโครงการ “BRI” ยิ่งไหลลื่น ไหลแรง ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักคิด นักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชีย-แปซิฟิก อย่าง “นายThomas W. Pauken” ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “US vs China: From Trade War to Reciprocal Deal” อันโด่งดังมิใช่น้อย การลงนามเซ็นสัญญาเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและอิหร่านภายในระยะ 25 ปีนั้น ได้ทำให้ “เกมของโลกเปลี่ยนแปลงไปเรียบร้อยแล้ว” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือทำให้เกิดภาวะที่ถูกอธิบายเอาไว้ว่า... “เราได้มาถึงจุดที่มิอาจหวนกลับไปได้อีกแล้ว นั่นคือจุดที่...ความเสื่อม...ของอเมริกา ถูกร่นระยะเวลาให้เร็วขึ้นๆ ขณะที่โครงการ BRI ของจีนจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นๆ ในตลาดโลก โดยเฉพาะในตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา หรือทำให้จีนกลายเป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญที่จะทำให้บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายในภูมิภาคดังกล่าว เปลี่ยนไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรม ความเป็นเมือง และความทันสมัย ในอนาคตเบื้องหน้า...”
ยิ่งเมื่อเจอกับการ “เผ่น” แบบชนิดหนียะย่าย พ่ายจะแจของทหารอเมริกาแบบสดๆ ร้อนๆ ในประเทศอย่างอัฟกานิสถานชนิดไม่ต่างไปจากการเผ่นหนีจากประเทศเวียดนามเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ข้อวิเคราะห์ ข้อสันนิษฐาน ในลักษณะดังกล่าว ยิ่งดูจะมี “น้ำหนัก” ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะในช่วงระยะเวลาใกล้ๆ กัน รัฐบาลใหม่ของพวก “ตอลิบาน” ก็ได้ประกาศเอาไว้ล่วงหน้าว่า ประเทศอัฟกานิสถานพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับอภิมหาโครงการ “BRI” ของจีน ขณะที่จีนก็ได้ตัดสินใจส่งความช่วยเหลือมูลค่า 31 ล้านดอลลาร์ ไม่ว่าในรูปข้าว-ปลา-อาหาร อุปกรณ์เครื่องนุ่งห่มในช่วงฤดูหนาว ไปจนถึงวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 จำนวน 3 ล้านโดส ฯลฯ ไปให้กับอัฟกานิถานโดยเร่งด่วน ดังนั้น...ถ้าหากประเทศที่สุดแสนจะโชคร้ายเพราะพิษภัยสงครามมาโดยตลอด อย่างอัฟกานิสถาน สามารถหวนคืนกลับมาสู่สันติภาพและความสงบเรียบร้อยได้จริงๆ ไม่เพียงแต่บรรดา “สินแร่” ใต้ดินที่มีมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 1 ล้านล้าน-3 ล้านล้านดอลลาร์ จะช่วยให้ผู้คนพอเงยหน้า-อ้าปากได้บ้าง แต่ยังจะช่วยให้ภูมิภาคเอเชียกลางกลายเป็น “เส้นทางสายไหมใหม่” ที่หวนกลับมาเจริญ มั่งคั่ง และรุ่งเรือง ได้โดยไม่ยากส์ส์ส์...
หรือโดยสรุปรวมความแล้ว...แม้ว่า “พญาอินทรี” นั้น จะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร น่ากลัว น่าเกรงขามเอามากๆ แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ “หาเหยื่อ” หรือ “จับเหยื่อ” ไม่ค่อยจะได้ โอกาสที่จะขนร่วง ขนหาย กลายสภาพเป็น “นกกระจอก” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย ส่วน “พญามังกร” นั้น...แม้ว่าจะเคยเป็นแค่งูดิน หรืองูอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากมีโอกาสได้ลากเลื้อย โอบกระหวัดรัดพัน เสพภักษาหารได้อย่างคล่องเนื้อ คล่องตัว แนวโน้มที่จะกลายไปเป็น “พญามังกร” ที่มีฤทธิ์ มีเดช มีปีก มีหาง เผลอๆ...อาจแถมพ่นไฟได้ด้วย ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปทุกที...