xs
xsm
sm
md
lg

แอฟริกากับ“แฟชั่น”แห่งการ“รัฐประหาร”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Omar al-Bashir อดีตประธานาธิบดีซูดาน
วันนี้...สงสัยคงต้องแวะไปแถวๆ ทวีปแอฟริกาไว้สักหน่อย!!! เพราะช่วงหลังๆ นี้ ออกจะเป็นอะไรที่เปรี้ยงๆ ดังเสียงฟ้าฟาด โครมๆ พินาศพังสลอน เกิดการก่อรัฐประหาร หรือพยายามที่จะรัฐประหารกันชนิดเป็นว่าเล่น ล่าสุด...ก็เห็นว่าประเทศ “ซูดาน” ที่เพิ่งปฏิวัติรัฐประหารไปเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว คือช่วงเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2019 ก็เกิดการตูมๆ ตามๆ เกิดการคิดจะรัฐประหารซ้ำซ้อนขึ้นมาซะอีก...

ตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ที่นายกรัฐมนตรีซูดาน “นายAbdallah Hamdok” ออกมาเปิดเผยด้วยตัวเอง เมื่อช่วงวันอังคาร (21 ก.ย.) ที่ผ่านมา เห็นว่า...บรรดาพวกกองกำลังมวลชนติดอาวุธ และทหารบางกลุ่ม โดยได้รับการหนุนหลัง โยงใย ไปถึงอดีตประธานาธิบดีคนเก่า คือ “นายOmar al-Bashir” ที่เผ่นไปเป็นสัมภเวสีอยู่นอกประเทศมาสักพักใหญ่ๆ ได้อาศัย “เงื่อนไข” จากฉากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองของซูดาน ที่ออกจะเละยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อถูกบีบจากเจ้าหนี้เงินกู้ อย่าง “IMF” ให้ทำโน่น ทำนี่ จนอะไรที่เละๆ อยู่แล้ว ยิ่งเละเทอะ เลอะเทะ หนักขึ้นไปใหญ่ เลยเกิดความพยายามรวมหัว รวมตัวของกองกำลังมวลชนติดอาวุธและทหารบางราย คิดจะก่อรัฐประหารขึ้นมาอีกครั้ง แต่จะโชคดีหรือโชคร้ายก็แล้วแต่จะคิด แต่ละกลุ่ม แต่ละราย ดันถูกจับ ถูกรวบ ก่อนที่จะเปรี้ยงๆ โครมๆ ได้เป็นผลสำเร็จ...

โดยก่อนหน้านั้น...แค่ไม่กี่เดือนมานี่เอง ประเทศ “มาลี” ที่เคยเกิดการปฏิวัติแล้ว ปฏิวัติอีก ก็ยังอุตส่าห์เกิดการบุกจับตัวประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะก่อนหน้านั้น 1 เดือน คือช่วงประมาณเดือนเมษาฯ ก็เกิดลอบสังหารประธานาธิบดีแห่งประเทศ “ชาด” “นายIdriss Deby Itno” ที่ครองอำนาจมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า “บิ๊กตู่” บ้านเราไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จนกลายเป็นการเปิดช่อง เปิดทาง ให้ลูกชายที่ควบคุมดูแลกองทหาร อย่าง “พลเอกMahamat Deby Itno” ขึ้นมาเถลิงอำนาจ ยุบรัฐสภา รัฐบาล หรือถือเป็นการรัฐประหารในอีกรูปแบบ ที่ผลสรุปคงไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่นัก...

และก็ช่วงต้นเดือนกันยาฯ ประเทศ “กินี” ในแอฟริกาตะวันตก ก็ตามมาเป็นชาติที่ 3 แห่งการรัฐประหาร เมื่อ “พลโทMamady Doumbouya” ตัดสินใจเคลื่อนกำลังทหารบุกไปยังทำเนียบประธานาธิบดี แล้วจับตัวผู้นำประเทศ อย่างประธานาธิบดี “Alpha Conde” ที่ครองอำนาจมายาวนานถึง 11 ปี ได้ผลสำเร็จ ท่ามกลางการออกมาเฉลิมฉลองของผู้คนพลเมืองเป็นจำนวนไม่น้อย และก็ด้วยการ “รัฐประหาร” คราวนี้นี่แหละ...ที่ว่ากันว่าทำให้ “ราคาอะลูมิเนียม” ในตลาดโลกพุ่งขึ้นพรวดๆ พราดๆ สูงสุดในรอบ 10 ปี อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอน ไม่มั่นใจ ว่าปริมาณแหล่งแร่ “Bauxite” ที่เอาไว้ใช้ทำอะลูมิเนียม ซึ่งมีอยู่ในประเทศนี้ถึง 250,000 ล้านตัน หรือกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของแหล่งแร่ชนิดนี้ในโลก จะถูกคณะรัฐประหารเอาไปประเคนให้กับใครต่อใครกันแน่!!!

เรียกว่า..ไปๆ-มาๆ การ “รัฐประหาร” ในแอฟริกา อย่างในประเทศกินีเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทำเอาผู้ที่ “สะดุ้ง” แบบชนิดมือเกร็ง เท้าเกร็ง กันไปเป็นแถบๆ กลับหนีไม่พ้นไปจากคุณพี่จีนของหมู่เฮานั่นเอง ในฐานะผู้ที่ต้อง “นำเข้า” แร่ “Bauxite” จากกินีเอามาใช้ในการผลิตโทรศัพท์มือถือ ไอโฟน เรดาร์ เครื่องบิน ฯลฯ เป็นจำนวนปีละกว่า 50 ล้านตันเป็นอย่างน้อย หรือเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของการนำเข้า นั่นยังไม่รวมไปถึง “แร่เหล็ก” ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายมหาศาลในประเทศนี้ และได้ช่วยให้คุณพี่จีนไม่ต้องเสียเวลาหันไปพึ่งพาแร่เหล็กจากประเทศผู้ช่วยนายอำเภออย่างออสเตรเลีย ที่เริ่มเป็นไม้เบื่อ-ไม้เมากันมาเป็นปีๆ ชนิดถึงกับบริษัทลงทุนของจีน (SMB) ต้องดอดเข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัทรัฐวิสาหกิจ “Guinea United Mining Supply Group” ทุ่มเทเงินลงทุนมากถึง 14,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อคว้าสัมปทานแหล่งแร่เหล็กประมาณ 10,000 ล้านตันเอาไว้ในมือ แต่เมื่อผู้ที่มีอำนาจให้สัมปทานดัน “เจ๊ง” ไปก่อนซะดื้อๆ หรือถูกปฏิวัติรัฐประหารชนิดต่อหน้า-ต่อตา อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้คุณพี่จีน แทบจะร้อง “ไอ้หยา” หรือ “ซี้เลี้ยวอ่า” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

คือคงต้องยอมรับว่า...ไม่ว่าจะเกิดความผันผวนปรวนแปรใดๆ ขึ้นมาในทวีปแห่งนี้ ผู้ที่ออกจะสะดุ้ง ออกจะงอมพระรามกว่าใครเพื่อน น่าจะได้แก่คุณพี่จีนนั่นแล อันเนื่องมาจากการทุ่มเทหลายสิ่ง-หลายอย่างเข้าไปในประเทศต่างๆ ในแอฟริกา อย่างชนิดเป็นระบบเป็นกิจการมานานแล้ว จนทำให้มูลค่าการค้าขายระหว่างจีนและแอฟริกา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ไปจนถึงปี ค.ศ. 2019 เพิ่มขึ้นกว่า 20 เท่าเอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนปริมาณเงินลงทุนโดยตรงเพิ่มขึ้นไปถึง 100 เท่า หรือในช่วงปี ค.ศ. 2019 มีจำนวนปริมาณไม่น้อยไปกว่า 110,000 ล้านดอลลาร์ พอๆ กับงบประมาณบ้านเรานับเป็นสิบๆ ปี แต่เมื่อต้องเจอกับการ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร” กันแบบชนิดแทบจะ 3 เวลาหลังอาหาร ถ้ายังไม่ถึงกับ “ซี้” ก็คงหนีไม่พ้นต้อง “ไอ้หยา” ไปตามสภาพนั่นเอง...

เรียกว่า...ถึงขั้นต้องมีการเช็กข่าว เช็กประวัติ ว่าผู้นำรัฐประหารในประเทศกินี อย่าง “พลโทMamady Doumbouya” นั้นมาจาก “สายไหน?” กันแน่ การเคยผ่านการฝึก การอบรมมาจากประเทศฝรั่งเศสและอเมริกา จะส่งผลต่อการลงทุนของบรรดาบริษัทจีนในประเทศนี้ไปถึงขั้นไหน รูปไหน แบบไหน แต่ก็ยังถือเป็นโชคดี...ที่ผู้นำรัฐประหารรายนี้ ได้ออกมาป่าวประกาศเอาไว้แล้วล่วงหน้า ว่าไม่คิดจะแตะต้องสัมปทานใดๆ ที่บรรษัทต่างชาติเคยทำไว้กับรัฐบาลกินีชุดก่อน หรือพอได้ถอนหายใจ โล่งอก กันในชั่วครั้ง-ชั่วคราว เพราะหลังจากนี้...ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป???

ยิ่งเมื่อเจอกับความพยายามก่อรัฐประหารในประเทศซูดานตามมาติดๆ ก็ยิ่งน่าปวดเศียรเวียนเกล้าหนักขึ้นไปใหญ่ เพราะประเทศแถบตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาประเทศนี้ ยิ่งมีความสำคัญต่อจีนยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นประเทศที่บริษัทจีนเข้าไปทุ่มทุน ลงทุน เอาไว้มากต่อมาก ไม่ว่าการสร้างเส้นทางรถไฟสาย “Khartoum-Port Sudan” ที่มีความเกี่ยวพันกับอภิมหาโครงการเปลี่ยนโลก หรือ “BRI” (Belt and Road Initiative) เอามากๆ นั่นยังไม่รวมถึงการเข้าไปสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ โรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน การเข้าไปตั้งบริษัทการเงินจำนวนถึง 65 บริษัท ฯลฯ จนทำให้จำนวนเงินลงทุนโดยตรงของจีนในประเทศนี้ มีมูลค่าสูงถึง 249 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 ปริมาณการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ที่เคยมีอยู่แค่103 ล้านดอลลาร์ ในปี ค.ศ. 1990 เพิ่มขึ้นเป็น 9,700 ล้านดอลลาร์ภายในปี ค.ศ. 2007 หรือทำให้ประเทศจีนกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของซูดาน จนตราบเท่าทุกวันนี้...

แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อช่วงหลังๆ นี้ ไม่ว่า “พญามังกร” จะพยายามลอดเลื้อยไปในทางไหนต่อไหน “พญาอินทรี” อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่แม้จะมีผู้นำประเภท “หลับๆ-ตื่นๆ” อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ก็ดูจะพยายามบินว่อน บินตามไปติดๆ แม้ว่าในยุคอดีตประธานาธิบดีคนเก่า อย่าง “ทรัมป์บ้า” จะถือว่าบรรดาประเทศต่างๆ ในแอฟริกา แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “หลุมขี้” หรือ “Shithole Countries” ก็ตาม แต่อาจด้วยความเติบใหญ่ เติบกล้า ของพญามังกรที่ชำแรก แทรกซึม ลอดเลื้อยและโอบกระหวัดรัดพันประเทศต่างๆ ในแทบทุกซีกโลก แม้แต่ใน “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา อย่างบรรดาประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย ดังนั้น... “ความเปลี่ยนแปลง” ใดๆ ก็ตามที่กำลังอุบัติขึ้นมาอย่างเป็นระลอก ในทวีปแอฟริกา ชนิดแทบไม่ต่างอะไรจากการอุบัติขึ้นมาของเหตุการณ์ “อาหรับสปริง” ในตะวันออกกลาง หรือในโลกอิสลาม อะไรทำนองนั้น จึงหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวพันไปถึง “พญาอินทรี” ที่กำลังตามไล่ตี ไล่จิก “พญามังกร” ไม่ว่าทางหนึ่ง ทางใด อย่างมิอาจปฏิเสธได้ และนั่นเอง...ที่ทำให้ต้องพยายามหันไปจับตาต่อการ “รัฐประหาร” ซึ่งกำลังแทบกลายเป็น “แฟชั่น” ภายในประเทศแถบนี้ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง หรือมิอาจกะพริบตาได้เลย...




กำลังโหลดความคิดเห็น