วันนี้...สงสัยคงต้องชวนไปดูความพยายาม “สร้างมิตร” ระหว่างคุณพ่ออเมริกา-อังกฤษ และออสเตรเลียเพื่อต่อต้านคุณพี่จีนกันโดยเฉพาะ ตามสนธิสัญญาข้อตกลงล่าสุดที่เรียกว่า “AUKUS” อะไรประมาณนั้น ที่จู่ๆ ดันกลายเป็นการ “สร้างศัตรู” กันในชนิดแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อกันจนได้ นั่นแหละทั่น!!!
เพราะเอาไป-เอามาแล้ว...มันคงไม่ใช่แค่เรื่องความ “หุดๆ หิดๆ” (หงุดหงิด) ความเง้าๆ งอดๆ แง่ๆ งอนๆ แบบเล็กๆ น้อยๆ นี๊ดๆ โหน่ยๆ ของฝรั่งเศส ที่ต้อง “แห้วกระป๋อง” อดได้เงิน-ได้ทองจากการตระเตรียมสร้างเรือดำน้ำพลังดีเซล ให้กับกองทัพออสเตรเลีย ตามสัญญาและข้อตกลงที่ได้ทำกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว มูลค่าปาเข้าไปถึงกว่า 40,000 หรือกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์แต่เพียงเท่านั้น แต่มันออกไปทาง “ฉุนขาด” ทาง “แค้นตาแม้น” แบบชนิดโมโหโกรธาเอาจริงๆ และทำท่าว่าอาจส่งผลให้บรรดาพันธมิตรระดับสำคัญๆ ของคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าจะเป็นระดับองค์กรความร่วมมือทางทหารในแอตแลนติก อย่าง “NATO” หรือกระทั่งองค์กรความร่วมมือทางด้านความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก อย่าง “QUAD” มีโอกาสเละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก ขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่ง เอาเลยก็ไม่แน่!!!
คืออย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส “นายJean-Yves Le Drian” ที่ออกมาด่าออสเตรเลีย อเมริกา อังกฤษ ในเรื่องนี้แบบชนิดเสียๆ หายๆ ถึงขั้นว่า...หลอกลวงตีสองหน้า-ดูหมิ่นดูแคลนเพื่อนมิตร-ไปจนถึงขี้หก โกหก อะไรทำนองนั้น ได้เน้นย้ำเอาไว้ว่า การแสดงออกถึงความไม่พอใจของฝรั่งเศส ระดับต้อง “ถอนทูต” ออกจากประเทศอเมริกาและออสเตรเลียเอาเลยนั้น ถือเป็นการแสดงออกในแง่ “สัญลักษณ์” ที่มีความหมายลึกเกินไปกว่าความหงุดหงิด งุ่นง่าน โดยปกติธรรมดา หรือพูดง่ายๆ ว่า...ถือเป็น “ครั้งแรก” ในประวัติศาสตร์สัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสกับอเมริกา ที่สามารถย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ.1778 หรือตั้งแต่ประเทศอเมริกายังคงเป็น “วุ้น” โน่นเลย ที่ฝรั่งเศสต้องแสดงออกถึงขั้นตัดสินใจ “ถอนทูต” ออกจากการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อีกทั้ง...เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสรายนี้ ยังถึงกับต้องลงทุนถ่อไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ เจรจากับรัฐมนตรีต่างประเทศอินตะระเดีย หนึ่งในประเทศพันธมิตรอินโด-แปซิฟิกของอเมริกา หรือกลุ่มประเทศ “QUAD” อย่าง “นายSubrahmanyam Jaishankar” เพื่อที่จะหาทางสร้างความร่วมมือทางด้านความมั่นคงระหว่างทั้งสองประเทศ หรือเพื่อจะเสริมสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกแบบหลายขั้วอำนาจที่แท้จริง” (A Truly Multilateral International Order) ให้อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังให้จงได้ โดยจะมีการปรึกษาหารือถึงรายละเอียดที่องค์การสหประชาชาติ ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า หรือช่วงระหว่างที่ผู้นำประเทศ “QUAD” อย่างอเมริกา เตรียมจะจัดประชุมกลุ่มประเทศดังกล่าว อันได้แก่ อเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย ในช่วงวันที่ 23 ก.ย. นั่นเอง...
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากอินตะระเดีย ที่คุณพ่ออเมริกาในช่วงอดีตประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” พยายามฉุดกระชากลากถูให้เข้าร่วมเป็นพันมิตรในการต่อต้าน ปิดล้อมจีน ชนิดยอมเปลี่ยนชื่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงไปเป็น “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ยังเกิดความรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่า...อีนี่แขกก็อยากจะอยู่ส่วนแขก นะนายจ๋า!!! คือยังไม่ถึงกับกระเหี้ยนกระหือรือที่จะไปต่อต้านประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงอย่างจีน แบบสุดฤทธิ์-สุดหลอด แต่เพียงแค่อาศัยความเป็นพันธมิตร “QUAD” หาประโยชน์ให้ตัวเองต่อไปเรื่อยๆ และดันเกิดความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้นมาว่า การอยู่ร่วมเป็นพันธมิตร “QUAD” ของอินเดีย แทบเทียบไม่ได้เอาเลยกับหนึ่งในพันธมิตรกลุ่มประเทศเดียวกันอย่างออสเตรเลีย ที่คุณพ่ออเมริกาพร้อมประเคน เทคโนโลยี “เรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์” ให้ถึงระดับ 8 ลำซ้อนๆ “แขก” ก็อาจพร้อมหันไปเห็นดี-เห็นงามกับ “ฝรั่ง” หรืออาจหันไปเห็นพ้องต้องกันว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมี “ระเบียบโลกแบบหลายขั้วอำนาจที่แท้จริง” ไม่ใช่ “โลกแบบขั้วอำนาจเดียว” ที่มีคุณพ่ออเมริกาดำรงตนเป็น “ประมุขโลก” ต่อไป อันนี้...ก็เท่ากับว่า เละไปอีกราย!!! สำหรับกลุ่มพันธมิตร “QUAD” อันเนื่องมาจากผลที่กำลังตามมาจากสนธิสัญญา “AUKUS” นั่นเอง...
และถ้าจะว่าไปแล้ว...คงไม่ใช่แค่เฉพาะความเสียดายเงิน-เสียดายทองเท่านั้น ที่ทำให้หนึ่งในประเทศพันธมิตร “NATO” อย่างฝรั่งเศส ออกอาการ “ฉุนขาด” หรือ “ฉุนตาแม้น” ได้ถึงขั้นนี้ เพราะสำหรับใครที่มีโอกาสรับรู้ รับฟัง คำแถลง การปราศรัยของประธานคณะผู้บริหารอียู อย่าง “นางUrsula von der Leyen” อดีตรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี เมื่อช่วงวันพุธที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ถือเป็นคำปราศรัยระดับ “EU’s 2021 State of the Union Address” หรือระดับ “SOUA” เอาเลยถึงขั้นนั้น ก็น่าจะพอสรุปได้บ้างว่า โอกาสที่อียูทั้งอียู จะ “เดินตามก้นอเมริกา” เหมือนแบบเดิมๆ อีกต่อไป น่าจะเป็นไปได้ยากส์ส์ส์เต็มที หรือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อใจ ไม่มั่นใจ ที่บรรดาประเทศสหภาพยุโรปทั้งหลาย มีต่อมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ใช่แค่เฉพาะการหันไปชักชวนออสเตรเลีย ให้หันไป “เบี้ยวเรือดำน้ำฝรั่งเศส” เท่านั้น แต่กระทั่งเรื่องการ “ถอนทหารอเมริกัน” ออกจากอัฟกานิสถาน แบบชนิดหนียะย่าย พ่ายจะแจ โดยไม่คิดจะปรึกษาหารือใดๆ กับ “NATO” หรือกับบรรดากลุ่มประเทศอียูเอาเลยแม้แต่น้อย ยังส่งผลให้บรรดาประเทศในยุโรป ที่มีกองกำลังทหารอยู่ในอัฟกานิสถานไม่น้อยไปกว่า7,000 นาย มากกว่าทหารอเมริกันที่มีอยู่แค่เพียง 2,500 นาย เกิดความหงุดหงิด งุ่นง่าน กันไปมิใช่น้อย เรียกว่า...ถึงกับเล่นเอารัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกลาโหมเนเธอร์แลนด์ ต้องตัดสินใจลาออกจากรัฐบาล เพราะมัวแต่งุ่มๆ ง่ามๆ ช่วยใครต่อใครที่ตกค้างแทบไม่ทัน หรือต้อง “ป่วน” ไปทั่วทั้งยุโรป เพราะการเป็นมิตรกับคุณพ่ออเมริกานี่เอง...
หรือแม้กระทั่งความพยายามต่อต้าน คัดค้าน โครงการขนส่งท่อแก๊ส “Nord Stream 2” ของรัสเซียไปยังยุโรป โดยพยายามกดดันและบีบบังคับให้ชาวยุโรปทั้งหลาย ต้องหันไปซื้อแก๊สราคาแพงๆ ของอเมริกา ที่ขนส่งและบรรทุกทางเรือ มาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” โดยไม่ได้คำนึงถึง “ผลประโยชน์” ของชาวยุโรปเอาเลยแม้แต่น้อย ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ประธานคณะผู้บริหารอียูถึงได้พยายามเน้นย้ำเอาไว้ใน “State of the Union” ว่าถึงเวลาแล้วที่อียู หรือยุโรป จะต้องเพิ่ม “ความเป็นตัวของตัวเอง” หันมายืนหยัดในความเป็นชาวยุโรป แบบชนิดถือเป็นภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองอันมิอาจปฏิเสธ ไปจนถึงขั้นอาจต้องหันมาคิดถึงการจัดตั้ง “กองกำลังทหาร” ของบรรดาประเทศในยุโรปเอง ตามข้อเสนอแนะของผู้นำฝรั่งเศส อย่างประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” มาก่อนหน้านี้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบริการ “NATO” ที่อยู่ภายใต้การควบคุม บงการ ของคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป...
นี่...ต้องเรียกว่า ความพยายาม “สร้างมิตร” โดยสนธิสัญญา “AUKUS” ของอเมริกาคราวนี้ ได้ก่อให้เกิดการ “สร้างศัตรู” อย่างชนิดแทบนับไม่หวาด-ไม่ไหว เอาเลยก็ว่าได้ หรือทำให้ความพยายามระดมสรรพกำลังทั้งหลายเพื่อต่อต้าน ปิดล้อม หรือเพื่อเอาชนะมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนและรัสเซีย กลับยิ่งทำให้ตัวเอง “โดดเดี่ยว” หรือ “โฮมอโลน” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ไม่ว่าจากบรรดาพันธมิตรที่เคียงบ่า-เคียงไหล่มาโดยตลอด อย่าง “NATO” พันธมิตรที่เพียรพยายามจัดสร้างขึ้นมาใหม่ อย่าง “QUAD” นั่นยังไม่นับถึงบรรดาพันธมิตรในตะวันออกกลาง อย่างซาอุดีอาระเบียที่จู่ๆ ก็ถูกถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศทั้งๆ ที่กำลังเจอกับระเบิดหล่นใส่หัว ชนิดวันแล้ววันเล่า ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูจะเป็นไปตามคำพูด คำกล่าว ของอดีตรัฐบุรุษชาวสปาร์ตา “Lycurgus of Sparta” ที่ได้พูดเอาไว้เมื่อไม่รู้กี่พันต่อกี่พันปีที่แล้วนั่นแหละว่า... “Close alliance with despots are never safe for the free state.” หรือ “การเป็นพันธมิตรโดยใกล้ชิดกับรัฐที่วางอำนาจกดขี่ ไม่เคยนำมาซึ่งความปลอดภัยสำหรับเสรีรัฐทั้งหลาย” ...นั่นแล...เทอญญ์ญ์ญ์...