xs
xsm
sm
md
lg

คำถามถึง“สิทธิ”และ“ความเป็นมนุษย์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Michelle Bachelet ผู้อำนวยการด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
ช่วงระหว่างนี้...ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในซีกโลกต่างๆ คงต้องสรุปว่า...ยังไม่ถึงมีอะไรใหม่ๆ มากมายสักเท่าไหร่ คือยังเป็นไปในแนวซ้ำๆ เดิมๆ ด้วยเหตุนี้...เลยคงต้องขออนุญาตชวนไปหาอะไรที่มันพอก่อให้เกิดสิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ พอให้เกิด “สติ” และ “ปัญญา” ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่เพียงแต่เป็นอะไรที่ยังไม่คิดเหี่ยวปลาย ไม่คิดจะหัวตกลงไปซักกะที แต่ยังเป็นสิ่งที่ออกจะ “ท้าทาย” ต่อขีดความสามารถต่อประสิทธิภาพของ “รัฐบาล” แต่ละรัฐบาล รวมทั้งยังอาจก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อ “ค่านิยมทางสังคม” ของแต่ละสังคมแต่ละวัฒนธรรมแต่ละประเพณี เอาเลยก็ไม่แน่!!!

คือไม่ใช่แต่เฉพาะบ้านเรา...ที่ยัง “คิดไม่ออก-บอกไม่ถูก” ว่าจะ “เปิดประเทศภายใน 120 วัน” ตามคำป่าวประกาศล่วงหน้าของท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” หรือไม่ ประการใด กันดี แต่กระทั่งประเทศใหญ่ๆ ระดับมหาอำนาจ ไม่ว่าประเภทสูงสุดในโลก หรือลดหลั่นลงมาตามลำดับ ต่างต้องเจอกับคำถามทำนองนี้ ชนิดแทบ “ไปไม่เป็น” กันไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ว่าได้ อย่างคุณพ่ออเมริกาที่เจอกับการติดเชื้อ ระดับสูงสุดในโลกมาโดยตลอด หรือติดไปแล้วไม่ต่ำกว่า 41.3 ล้านคน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 6.62 แสนคน และปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน ก็ยังคงไปโลดถึงวันละ 109,432 คน เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง แม้พยายามไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ไล่ฉีดวัคซีนให้กับผู้คนภายในประเทศไปแล้วถึง 162.7 ล้านคน หรือ 49 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในประเทศ...

แต่ก็นั่นแหละ...เพียงแค่รัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลของ “ผู้เฒ่าโจ” ที่คงไม่อยากให้บรรดาชาวอเมริกันชนต้องล้มตายเกินไปกว่านี้ ตัดสินใจ “ออกคำสั่ง” ให้บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่างๆ รวมไปถึงพนักงานบริษัทแต่ละบริษัท ต้องหันมาฉีดวัคซีนอย่างมิควรหลีกเลี่ยงและปฏิเสธอีกต่อไป เพียงเท่านั้น...ก็ก่อให้เกิดแรงต่อต้าน คัดค้าน จากภาคส่วนต่างๆ ในสังคมอย่างเป็นระบบ ถึงขั้น...ผู้ว่าการรัฐแห่งพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม อย่างรีพับลิกัน ถึงกับยื่นเรื่องเสนอต่อศาลสถิตยุติธรรม กล่าวหาว่ารัฐบาลกลางกำลังละเมิดรัฐธรรมนูญ กำลังทำลายสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชนพลเมืองชาวสหรัฐฯ ที่เคยมีมาแต่อ้อน แต่ออก เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ไม่ต่างไปจากประเทศแม่แบบประชาธิปไตยอย่างฝรั่งเศส...ที่แม้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด จะปาเข้าไปถึง 6,907,133 คน เด๊ด สะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปแล้วถึง 115,603 คน แต่เพียงแค่รัฐบาลท่านประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” ท่านคิดจะแยกแยะบรรดาผู้ที่ฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ออกจากผู้ที่ยังไม่คิดจะฉีดวัคซีน ด้วยการออกมาตรการพาสปอร์ตวัคซีน หรือใบรับประกันสุขภาพ ให้กับบรรดาผู้ที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณูปโภคต่างๆ ได้ทุกเมื่อ เพียงแค่นี้เท่านั้น...ก็ส่งผลให้บรรดาชาวฝรั่งเศส ไม่น้อยไปกว่า 120,000 คน ลุกฮือ ดาหน้า ออกมาลงถนน ก่อการประท้วง ต่อต้านรัฐบาล ด้วยข้อหาว่ากำลังล่วงละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐานของปวงชน ปัจเจกชน ชนิดไม่รู้จะอยู่-จะไป จะรอด-ไม่รอด ภายในอนาคตอันใกล้...

แต่ขณะที่บรรดา “โลกตะวันตก” หรือรัฐบาลในประเทศตะวันตก กำลังเจอกับความผะอืดผะอม ในการปกป้อง ดูแล ความเป็นอยู่ของผู้คนภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ในลักษณะทำนองนี้ ใน “โลกตะวันออก” หรือในประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์อย่างประเทศจีน ที่ต้องปกป้อง ดูแล ประชากรนับจำนวนพันๆ ล้านคน แม้จำนวนผู้ติดเชื้อโดยรวม จะมีจำนวนเพียงแค่ 95,248 คน ต่างไปจากประเทศอเมริกานับเป็นล้านๆ เท่า ตายไปแล้วแค่ 4,636 คน น้อยกว่าอเมริกาเกือบ 6 แสน-7 แสนคน แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา เพียงแค่เจอจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มพรวดๆ พราดๆ จาก 22 คนต่อวัน เป็น 59 คนต่อวันเท่านั้นเอง โดยเฉพาะแถบมณฑลฝูเจี้ยน ด้านตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดต่อกับมณฑลเจ้อเจียงและกว่างตง ก็ถึงกับส่งผลให้เกิดรายการ “ปิดบ้าน-ปิดเมือง” กันในระลอกใหม่ ท่ามกลางภาวะที่แทบไม่มีใครคิดออกมาหือ ออกมาต่อต้าน คัดค้านเอาเลยแม้แต่น้อย...

ไม่ว่าทางการแห่งเมืองเซี่ยงเหมิน จะออกมาตรการ “ล็อกดาวน์” พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ออกคำสั่งให้นักเรียนอนุบาล ประถม มัธยมฯ หันไปเรียน “ออนไลน์” ที่บ้านกันแทนที่ สั่งปิดโรงภาพยนตร์ ผับ-บาร์ และห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่จำเป็น เช่นเดียวกับทางการเมืองเฉวียนโจว ที่ถึงกับหยุดการเดินทางโดยรถประจำทาง ปิดสถานที่สาธารณะไม่รู้กี่แห่งต่อกี่แห่ง สั่งงดรับประทานอาหารภายในร้าน และห้ามประชาชนเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่จำเป็นอีกเช่นกัน ฯลฯ แต่จะด้วยเหตุเพราะความเป็น “เผด็จการ” หรือเพราะ “ค่านิยมทางสังคม” ระหว่างชาวตะวันตกกับชาวตะวันออก มันผิดแผกแตกต่างกันไปตั้งแต่แรก หรือไม่? อย่างไร? ก็คงต้องไปหาข้อสรุปเอาเองก็แล้วกัน แต่ด้วยสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน เลยค่อนข้าง “สบาย” เอามากๆ เมื่อเทียบกับรัฐบาล “ประชาธิปไตย” แม่แบบ พ่อแบบ ของบรรดาโลกตะวันตกทั้งหลาย อีกทั้งยังสามารถเอาเวลามาดูแลรักษาความเป็นไปทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องให้เกิดอาการหัวทิ่ม-หัวตำ มากมายเกินไปกว่านี้....

ส่วนอะไรถูก-อะไรผิด อะไรดี-ไม่ดี ระหว่างความผิดแผกแตกต่าง ใน 2 ลักษณะดังกล่าว คงไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย ให้ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าโดยใช่เหตุ เพราะสิ่งที่น่าหยิบมาเป็นข้อสังเกต เป็นข้อคิด สะกิดใจ น่าจะเป็นเรื่องอะไรรอด-ไม่รอด อยู่ได้-ไม่อยู่ได้ ตาย-ไม่ตาย ฯลฯ นั่นแหละมากกว่า ไม่ว่าจะในทางการเมือง-เศรษฐกิจ-สังคมไปจนถึงสุขภาพ หรือชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ภายใต้ฉากสถานการณ์แห่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ อันถือเป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของฉากสถานการณ์ที่กำลังตามมา หรือฉากสถานการณ์อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ระหว่าง “มนุษย์” กับ “ธรรมชาติ” ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมานานแล้ว จนแทบมิอาจแก้ไข เยียวยา ได้อีกต่อไป!!!

หรืออย่างที่ผู้อำนวยการด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ “นางMichelle Bachelet” ชาวชิลี เพิ่งออกมาเปิดเผยผลงานการค้นคว้าและวิจัย ถึงแนวโน้มแห่งฉากสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม ระหว่างการประชุมครั้งที่ 48 ที่กรุงเจนีวา เมื่อช่วงวันจันทร์ (13 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่ามีแต่จะ “เลวร้าย” ยิ่งๆ ขึ้นไป ในอีกไม่นานนับจากนี้ ชนิดอาจกลายเป็น “ภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชน” อย่างหนักหน่วง รุนแรง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าสภาวะเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอากาศ ปัญหามลพิษ การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ฯลฯ อันจะนำมาซึ่ง “ผลกระทบ” ต่างๆ นานา รวมทั้งการเกิดขึ้นและการแพร่ระบาดของเชื้อโรคระบาดชนิดใหม่ๆ ที่กำลังกลายเป็นตัว “ขยายความขัดแย้ง” จำนวนมหาศาล เป็นตัวเพิ่มความตึงเครียดให้กับสังคมต่างๆ โดยเฉพาะสังคมที่มีลักษณะโครงสร้างแบบไม่เท่าเทียมกัน ไปจนถึงการเพิ่มแรงกดดันให้กับวิถีชีวิตของผู้คนให้ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับวิถีชีวิตในรูปแบบเดิมๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...

อันนี้นี่แหละ...ที่จะยิ่งก่อให้เกิดการตั้งคำถาม ว่าอะไรอยู่รอด-อยู่ไม่รอด อยู่ได้-อยู่ไม่ได้ ตาย-ไม่ตาย หนักซะยิ่งกว่าอะไรถูก-อะไรผิด อะไรดี-ไม่ดี อะไรน่านิยมยกย่อง เชิดชู บูชา-อะไรน่าเกลียด น่าชัง เหมือนอย่างก่อนๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยฉากสถานการณ์แห่งความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมของโลก ที่ทำให้อะไรต่อมิอะไรมันคงไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แม้แต่ความเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คิดเหี่ยวปลาย ไม่คิดหัวตกไปซะที ไม่เพียงแต่จะทำให้ “รัฐบาล” แต่ละรัฐบาลต้องเร่งหาทาง “คิดใหม่-ทำใหม่” ในการปกป้อง คุ้มครอง ดูแลผู้คนพลเมืองภายในประเทศตัวเองเท่านั้น แต่แม้กระทั่งประชาชน ปวงชน ในสังคมต่างๆ ที่เคยผูกติดกับ “ค่านิยมทางสังคม” ในแบบหนึ่ง แบบใด อาจหนีไม่พ้นต้องเริ่ม “ตั้งคำถาม” กับค่านิยมนั้นๆ ว่าเอาไป-เอามาแล้ว มันจะนำไปสู่การอยู่รอด-อยู่ไม่รอด อยู่ได้-อยู่ไม่ได้ หรือสามารถดำรงสถานะแห่งความเป็นมนุษย์ มิให้ต้องตาย-ไม่ตาย ก่อนที่จะเพรียกหาสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์กันในลำดับต่อไป หรือไม่ อย่างไร???




กำลังโหลดความคิดเห็น