ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่ไม่ถึงกับหนักหนา-สาหัสมากมายสักเท่าไหร่ แต่อาจ “หนักหัวกบาล” บรรดาอเมริกันชนบางกลุ่ม บางราย อยู่มั่ง โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่เป็นลูก เป็นหลาน ของพวก “อเมริกันฝ่ายใต้” หรือพวกที่เคยคิดแยกตัวเป็น “The Confederate States of America” เมื่อสักเกือบ 200 ปีที่แล้ว แต่เมื่อดันไปรบแพ้ “อเมริกันฝ่ายเหนือ” หรือพวก “The Union” ที่ไม่สนับสนุนให้มีการค้าทาส การใช้แรงงานทาส อันได้แก่บรรดาชาวผิวดำที่ถูกกวาดต้อนมาจากแอฟริกา ก็เลยต้อง “อยู่ๆ กันไป” ในประเทศ “The United States of America” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้...นั่นแล...
แต่เมื่อช่วงประมาณวันพุธ (8 ก.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง...อาจมีภาพบางอย่าง ที่ก่อให้เกิดความเศร้า ความสะเทือนใจ ต่อบรรดาลูกหลานชาวอเมริกันฝ่ายใต้อยู่บ้าง นั่นคือ...ภาพของการ “รื้อทิ้ง” อนุสาวรีย์น้ำหนักประมาณ 12 ตัน ของอดีตผู้นำกองทัพกองทัพฝ่ายใต้ อย่างนายพล “โรเบิร์ต อี. ลี” (Robert E. Lee) ที่เคยนำพากองทัพฝ่ายใต้ สู้กับกองทัพฝ่ายเหนือ ในช่วง “สงครามกลางเมือง” ของอเมริกา ที่อุบัติขึ้นมาเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1862-1865 อันไม่เพียงแต่มาจากความขัดแย้งในเรื่อง “การค้าทาส-ไม่ค้าทาส” เท่านั้น แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ ผสมโรงอยู่อีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งใครที่สนใจรายละเอียดประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศอเมริกา คงต้องลองไปค้นคว้าหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน...
แต่สิ่งที่น่าเศร้า น่าสะเทือนใจ อยู่มั่ง...ก็คือว่า ทั้งๆ ที่ “อนุสาวรีย์” ที่ว่านี้ ยืนยง คงทนมายาวนานไม่น้อยกว่า 131 ปี ยาวจนน่าจะช่วยลบเลือน เจือจาง ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต ริษยาและชิงชัง ของบรรดาชาวอเมริกันชนในแต่ละฝ่าย ที่ต้องยกพวกเข่นฆ่ากันใน “สงครามกลางเมือง” ชนิดตายกันไปเป็นแสนๆ ล้านๆ ขณะที่ “ฝ่ายเหนือ” นั้นว่ากันว่าตายไปถึงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในขณะนั้น แต่ “ฝ่ายใต้” กลับตายไปไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร หรือแค่เฉพาะ “ทหาร” ของทั้งฝ่าย โดยตัวเลข สถิติ เท่าที่ใครต่อใครพยายามรวบรวมเอาไว้ ก็ว่ากันว่าไม่น่าจะน้อยไปกว่า 620,000-750,000 คนขึ้นไป...
แต่ก็นั่นแหละ...หลังจากที่ “ตำรวจผิวขาว” แห่งเมืองมินิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา ดันไปใช้ “เข่ากดคอ” ผู้ต้องหา หรือ “ผู้ต้องสงสัยชาวผิวสี” อย่าง “นายจอร์จ ฟลอยด์” (George Floyd) ซะจนตายคาที่ หรือตายคาเข่า เมื่อช่วงปี-สองปี (25 พ.ค. 2020) มานี้เอง กระแสคลื่นแห่งความชิงชัง รังเกียจ การเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ อันถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญของ “ประวัติศาสตร์อเมริกา” มาแต่อ้อน แต่ออก มันก็เลยดันปะทุขึ้นมา กลายเป็นตัวแบ่งแยก เป็นตัวสร้างความแตกแยกให้กับบรรดาอเมริกันชนในยุคปัจจุบัน ที่ยังพยายามแบ่งแยกตัวเองออกเป็น “ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา” เป็นพวก “Antifa” พวก “Proud Boys” อะไรทำนองนั้น จนนำไปสู่การรณรงค์ “รื้อทิ้ง” บรรดา “อนุสาวรีย์” ต่างๆ ทั้งหลาย ที่อาจก่อให้เกิดการสะกิดบาดแผลภายในใจของใครต่อใคร ในตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา...
ว่ากันว่า...จำนวน “อนุสาวรีย์” ที่อาจทำให้เกิดการหวนรำลึกไปถึงพวก “ฝ่ายใต้” ไม่ต่ำกว่า 168 อนุสาวรีย์ ต่างถูกออกคำสั่ง “รื้อทิ้ง” กันไปเป็นแถบๆ แม้แต่อนุสาวรีย์รูป “สุนัข” หรือ “อนุสาวรีย์หมา” ในเมืองปอร์ตแลนด์ ที่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับใครเขาด้วยเลย ยังถูกจุดไฟเผา ถูกโยก ถูกกลิ้ง ลงมานอนหงาย ตกคู ตกคลอง ไปจนถึงอนุสาวรีย์ของ “โคลัมบัส” (Christopher Columbus) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ก็ยังแทบไม่เหลือเศษ เหลือซาก ด้วยเหตุนี้...อนุสรณ์ อนุสาวรีย์ ของผู้นำกองทัพฝ่ายใต้ อย่างนายพล “โรเบิร์ต อี. ลี” ไม่ว่าที่ตั้งมานานนับร้อยปี หน้ารัฐสภาสหรัฐฯ หรือตั้งมานานถึง 131 ปีที่เมืองริชมอนด์ ในรัฐเวอร์จิเนีย ก็เลยต้องไม่รอดตามไปด้วย โดยคำสั่งของ “ผู้ว่าการรัฐ” แห่งพรรคเดโมแครต คือ “นายราล์ฟ นอตแฮม” (Ralph Northam) ที่อาศัยคำสั่งศาลของรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งว่าไว้ว่า... “เมื่อค่านิยมของสังคมเปลี่ยนแปลงไป นโยบายสาธารณะย่อมต้องสามารถเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย” หรือด้วยความเห็นชอบที่จะให้ผู้ว่าการรัฐ มีสิทธิ์ถอดถอน รื้อทิ้ง อะไรต่อมิอะไรก็ได้ ที่เกี่ยวพันกับนโยบายสาธารณะอย่างที่ว่า...
ด้วยเหตุนี้...ภาพของการรื้อถอน รื้อทิ้ง บรรดา “อนุสาวรีย์” ต่างๆ นับร้อยๆ ในอเมริกาช่วงนี้ อาจกลายเป็นตัวสะกิดบาดแผลที่เคยเป็นแผลเก่า แผลแก่ ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ให้กลายเป็นแผลสด แผลใหม่ ขึ้นมาได้ไม่ยากส์ส์ส์ คือแทนที่มันจะถูกทิ้งให้กลายเป็น “ประวัติศาสตร์” ให้จดจำ รำลึก ไปในทางหนึ่ง ทางใด ก็ย่อมได้ ไม่ว่าเพื่อ “เตือนใจ” ไม่ให้เดินซ้ำรอยเดิมในประวัติศาสตร์ หรือเพื่อเป็นตัว “อธิบาย” ถึงความเป็นมาของประเทศ ของสังคมอเมริกัน ที่มีอะไรน่าเกลียด น่าทุเรศยิ่งกว่าเรื่องการค้า การใช้แรงงานทาสเป็นไหนๆ เช่น การปล้นบ้าน ปล้นเมือง ปล้นแผ่นดินของชาวอินเดียนพื้นเมือง ชนิด “สูญพันธุ์” กันไปเป็นเผ่าๆ รายๆ แต่ในเมื่อ “ประวัติศาสตร์” ดันถูกนำไป “รับใช้” ต่ออารมณ์ ความรู้สึก ของบรรดาอเมริกันชนที่จงเกลียด จงชัง การเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ การต่อต้านเผด็จการ หรือการเอียงไปทางปีกซ้าย ฯลฯ อันเป็นความรู้สึก ชั่วครั้ง ชั่วคราว ที่อาจแวบหายไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะถ้าหากพวก “ฝ่ายขวา” หรือพวก “สนับสนุนทรัมป์บ้า” หวนกลับมามีอำนาจขึ้นมาอีก ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หรือครั้งไหนๆ ก็เถอะ!!! อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้อนาคตของประเทศนี้ สังคมนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล เป็นอย่างยิ่ง...
เพราะอันที่จริงแล้ว...ไม่ว่า “ฝ่ายเหนือ” จะรบชนะ “ฝ่ายใต้” ที่ไม่อาจถือเป็น “ฝ่ายเลว” ไปด้วยกันทั้งหมด เพียงเพราะค่านิยมทางสังคมแค่ชั่วครั้ง ชั่วคราว เรียกว่า...ขนาด “อภิมหานักเขียน” ผู้รักและศรัทธาในมวลมนุษยชาติ ผู้เกิด-เติบโตและคลุกคลีผูกพัน ห่วงใย ต่อบรรดาชาวผิวสีในอเมริกามาโดยตลอด อย่าง “มาร์ค ทเวน” (Mark Twain) หรือ “Samuel Langhorne Clements” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอเมริกาและทั่วทั้งโลก ก็ยังเคยเป็นทหารให้กับ “ฝ่ายใต้” มาตั้งแต่แรก การแยกฝ่าย แบ่งฝ่าย ในสังคมอเมริกันยุคอดีต มันจึงมีอะไรมากไปกว่าการวัดตัดสินด้วย “ค่านิยม” ในแบบหยาบๆ ง่ายๆ หรือมันยังมีอะไรมากไปกว่า “ความพ่ายแพ้” และ “ชัยชนะ” ของแต่ละฝ่ายอีกเยอะแยะมากมาย ที่จะต้องนำมารำลึก นำมาใช้เป็น “บทเรียนทางประวัติศาสตร์” มากกว่าการรื้อทิ้งอนุสาวรีย์ต่างๆ กันไปเป็นแท่งๆ ด้ามๆ...
เพราะแม้แต่ “ผู้ชนะ” อย่างผู้นำสูงสุดของ “ฝ่ายเหนือ” อย่างอดีตประธานาธิบดี “อับราฮัม ลินคอล์น” ก่อนที่ท่านจะตาย หรือก่อนที่จะถูกปลิดชีพ ด้วยการลอบสังหารของคนร้ายในช่วงไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมง เท่านั้นเอง ว่ากันว่า...อดีตผู้นำรายนี้แทบไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีต่อ “ชัยชนะ” ที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของอเมริกันชนนับล้านๆ แต่อย่างใดไม่ แต่กลับแสดงออกถึงความวิตกกังวล ความห่วงใยต่อสังคมอเมริกัน ต่อประเทศอเมริกา ที่ไม่ว่าจะ “ฝ่ายเหนือ” หรือ “ฝ่ายใต้” อาจต้องกลายเป็น “ฝ่ายแพ้” ไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยคำพูดบางประโยคที่ถูกบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานตราบจนทุกวันนี้ นั่นก็คือคำพูดที่ว่า... “บัดนี้...บรรษัทธุรกิจได้ครองประเทศไปแล้ว ศักราชแห่งการโกงกินในระดับสูงจะตามมา อำนาจเงินจะสามารถอยู่เหนือฝ่ายใดๆ ไปได้อีกนาน โดยอาศัยความหลงผิดของประชาชน จนกระทั่งเมื่อความมั่งคั่งถูกสั่งสมอยู่ในมือของกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ แค่ไม่กี่ราย...สาธารณรัฐ (อเมริกา)ก็จะถูกทำลายลงไปในท้ายที่สุด...”
หรือพูดง่ายๆ...ก็คือ “ฝ่ายทุน” หรือ “ทุนนิยม” ในอเมริกา ที่เป็นผู้ถือหางทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ให้รบราฆ่าฟันมาตลอดสงครามกลางเมืองนั่นเอง ที่จะกลายเป็นฝ่ายชนะในขั้นตอนสุดท้าย โดยอาศัย “ความโง่” ของอเมริกันชนในแต่ละฝ่าย หรือความหลงมัวเมาใน “เงิน” ใน “วัตถุ” หรือในการ “บริโภค” นั่นเอง เป็นเครื่องมือในการยึดครองและทำลายจักรวรรดิอเมริกาลงไปเช่นเดียวจักรวรรดิอื่นๆ เท่าที่เคยมีมา...นั่นเอง...