วันนี้...สงสัยต้องแวะกลับไปแถวๆ บ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างประเทศเมียนมา หรือพม่า ไว้สักหน่อย เพราะเท่าที่เห็นข่าวแวบๆ จากเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานี่เอง ว่าชักเกิดอาการโกลาหล ชุลมุนวุ่นวาย หนักซะยิ่งกว่า “คนปทุมฯ” บ้านเรา ไปรอฉีดวัคซีนไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า และคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการฉีด-ไม่ฉีดวัคซีน แต่หนักไปทางการกักตุนสินค้า การแย่งซื้อหมู เห็ด เป็ดไก่ ข้าวสาร อาหารแห้ง ไปจนถึงการแห่ไปถอนเงินจากธนาคาร ฯลฯ ชนิดก่อให้เกิดความสับสน ระส่ำระสาย ความหูแหก ตาแหก ของชาวเมียนมาในแต่ละราย ไปเป็นเมืองๆ เอาเลยก็ว่าได้...
อันเนื่องมาจากผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการตำแหน่งประธานาธิบดี ของ “รัฐบาลเงา” หรือรัฐบาล “NUG” (National Unity Government) ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้าน “รัฐบาลเผด็จการพม่า” ซึ่งมาจากการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีนี้ กันโดยเฉพาะนั่นแหละทั่น คือ “นายดอว์” หรือ “ดูวา ลาชิ ลา” (Duwa Lashi la) ที่ได้ออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดังฟังชัด ในช่วงเวลาประมาณ 7 นาที แห่งการปลุกระดมมวลชน เพื่อให้บรรดาชาวพม่า หรือเมียนมาทั้งหลาย พร้อมใจกันลุกฮือขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการพม่า ระดับถือเป็นการประกาศ “สงครามประชาชน” หรือ “การปฏิวัติประชาชน” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! โดยเรียกร้องให้ชาวพม่าทั้งหลาย ไม่ว่าทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ฯลฯ หันมาให้ความร่วมมือกับ “กองกำลังป้องกันตนเองของประชาชน” หรือ “PDF” (People’s Defense Forces) ที่แอบไปซุ่มฝึกอาวุธ ฝึกการต่อสู้ การวินาศกรรม ฯลฯ กับบรรดากองกำลังชนชาติส่วนน้อย ในช่วงตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา เร่งออกมายึดบ้าน ยึดเมือง ยึดพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะหน่วยงาน กองบัญชาการของทหารพม่า ให้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป...
และภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่รักษาการประธานาธิบดีรายนี้ ท่านเลยอดไม่ได้ต้องชี้แนะ ชี้นำ บรรดาชาวพม่าทั้งหลายให้เร่งกักตุนข้าวสารอาหารแห้ง หยูกยาต่างๆเอาไว้ก่อนล่วงหน้า รวมทั้งอย่าเดินทางไปไหนต่อไหนถ้าไม่จำเป็น ส่งผลให้ชาวพม่าที่ยังหูแหก-ตาแหก ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่แล้วเสร็จ เลยเป็นอันต้องหูแหก-ตาแหก ต่อการประกาศ “สงครามประชาชน” หรือ “การปฏิวัติประชาชน” ของ “รัฐบาลเงา” ไปอีกด้วยจนได้ แม้ว่า “รัฐบาลเผด็จการพม่า” เพิ่งจะประกาศ “หยุดยิงทั่วประเทศ” ตามคำขอร้องของทูตพิเศษอาเซียน “นายเอรีวัน ยูซอฟ” (Erywan Yusof) รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศบรูไน ที่อุตส่าห์ถ่อไปถึงประเทศพม่า แต่ก็ไม่ถึงกับได้อะไรติดไม้-ติดมือกลับมามากมายสักเท่าไหร่ นอกจากคำสัญญาว่าจะ “หยุดยิง” หรือหยุดก่อความรุนแรง เพื่อให้เกิดบรรยากาศในการช่วยเหลือ เยียวยา ชาวพม่า ที่อาจติดเชื้อโควิดไปแล้วกว่าครึ่งประเทศ หรือกว่า 27 ล้านคน จากจำนวนประชากร 53 ล้านคน อันนี้...ถ้าว่ากันตามการคาดคะเนของทูตพิเศษอังกฤษประจำสหประชาชาติ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา...
อย่างไรก็ตาม...เหตุที่ทำให้บรรดาชาวพม่า เมียนมาเกิดอาการ “หูแหก-ตาแหก” ไปตามคำชี้แนะ ชี้นำ หรือ “คำเตือน” ของรักษาการประธานาธิบดีรัฐบาลเงานั้น ก็น่าจะพอเป็นที่เข้าใจได้ แม้ว่าโดย “ศักยภาพ” ของรัฐบาล “NUG” หรือของกองกำลัง “PDF” ที่ยังแทบไม่รู้ว่าจะสามารถรวบรวมผู้คนที่ให้การสนับสนุนตัวเอง ได้สักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นคน ฯลฯ กันแน่ หรือแทบเทียบไม่ได้เอาเลยกับ “เผด็จการพม่า” ที่ควบคุม “กองทัพพม่า” ซึ่งมีจำนวนทหารถึง 400,000 คนเป็นอย่างน้อย แต่ถึงกระนั้น...ตลอดช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาของการยึดอำนาจ การรัฐประหารครั้งล่าสุด คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ได้ก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุครัฐประหารเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว หรือเมื่อช่วงการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1988 ที่เรียกๆ กันว่าเหตุการณ์ “8-8-88” แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน เอาเลยก็ว่าได้...
คือประการแรก...สิ่งที่รัฐบาลเผด็จการต้องเผชิญหน้าอยู่ในทุกวันนี้ ก็คือ “ปัญหา” อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพม่า ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุน หรือผู้ต่อต้านเผด็จการก็แล้วแต่ อาจปาเข้าไปถึงครึ่งประเทศเอาเลยก็ไม่แน่!!! ตามการคาดคะเนของ “นางบาร์บารา วู้ดเวิร์ด” (Barbara Woodward) ทูตอังกฤษประจำยูเอ็น ที่มองเห็นถึงการล่มสลายของระบบสาธารณสุขในประเทศนี้ ไม่ว่าจะโดยความรู้สึกแข็งข้อ ต่อต้าน ของบรรดาบุคลากรทางแพทย์ในพม่าต่อระบอบการปกครองแบบเผด็จการ หรือการถูกกวาดล้าง จับกุม คุมขัง โดยทหารพม่าต่อกลุ่มคนเหล่านี้ จนทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อโรคดังกล่าว กลายเป็น “ปัญหา” ที่หนักหนาสาหัส สำหรับ “ใครก็ตาม” ที่มีฐานะเป็นรัฐบาล ชนิดยากที่จะหาทางแก้ไขเยียวยากันได้ง่ายๆ...
ประการที่สอง...ก็คือแนวโน้มการสู้รบ การปะทะขัดแย้ง ระหว่างกองทัพพม่ากับบรรดากองกำลังติดอาวุธชนชาติส่วนน้อย หลังเหตุการณ์รัฐประหารครั้งล่าสุด ออกจะหนักหน่วงรุนแรงกว่าเท่าที่เคยเป็นมาหลายต่อหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบในเขตรัฐคะยา คะฉิ่น ชิน ฉาน กะเหรี่ยง ฯลฯ ชนิดข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ “นายมิเชล บาเชเลต์” (Michelle Bachelet) อดไม่ได้ต้องออกมาแสดงความห่วงใยต่อปัญหาผู้อพยพหลบลี้หนีภัย ไม่ว่าในบริเวณพรมแดนด้านที่ติดกับจีน อินเดีย หรือประเทศไทยของหมู่เฮาทั้งหลาย เพราะแค่การปะทะกับกองกำลัง “KNLA” (Karen National Liberation Army) ของกะเหรี่ยงในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก็ปาเข้าไปนับร้อยๆ ครั้ง สูญเสียทหารพม่าไปถึง 118 คนนั่นยังไม่รวมไปถึงการปะทะกับกองกำลัง “KIA” (Kachin Independence Army) บริเวณพรมแดนจีน ที่เล่นเอากองทัพปลดแอกประชาชนจีนถึงขั้นต้องสั่ง “เตรียมพร้อมในที่ตั้ง” หลังกองทัพพม่าตัดสินใจส่งเครื่องบินรบออกโจมตีที่มั่นทางทหารของพวกคะฉิ่น แบบชนิดดุเดือดเลือดพล่าน เป็นอย่างยิ่ง...ฯลฯ
แต่ที่สำคัญเอามากๆ ก็คือ...ประการที่สาม อันได้แก่การก่อวินาศกรรม การลอบสังหาร การปล้นธนาคารและการบุกโจมตีทหารพม่าในเมืองใหญ่ๆ ไม่ใช่แค่ชนบทรอบนอกเหมือนเดิมๆ อีกต่อไป โดยบรรดากองกำลัง “PDF” หรือกองกำลังประชาชนป้องกันตนเอง ซึ่งก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้าต่อกองทัพพม่ามิใช่น้อย ไม่ว่าการระเบิดรถบรรทุกทหาร ลอบสังหารเจ้าหน้าที่การข่าว เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม การวินาศกรรมย่านการค้า 5 ครั้งซ้อนๆ ไปจนการปล้นธนาคาร “Global Treasure Bank” เมื่อวันที่ 15 ก.ค.และ 30 ส.ค. ในเมืองหลวงเก่าอย่างกรุงย่างกุ้ง ปล้นธนาคาร “Myanmar Economic Bank” ในรัฐคะฉิ่น เมื่อวันที่ 25 ส.ค.และธนาคาร “KBZ” ในรัฐฉาน เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมานี่เอง ไปจนถึงการโจมตีสถานีตำรวจในเมืองสะกาย มัณฑะเลย์ ฯลฯ ฯลฯ จนสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อทหารพม่า ถึงขั้นคิดจะเริ่มก่อตั้ง “กองกำลังติดอาวุธประจำหมู่บ้าน” เพื่อรับมือกับการก่อกวนการป่วนในลักษณะดังกล่าว อันนี้...ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ “โกลบอล นิวไลท์ ออฟ เมียนมา” เมื่อไม่นานมานี้ หรือถึงขั้นต้องวางแผนลอบสังหารทูตพม่าประจำยูเอ็น “นายจอ โม ตุน” (Kyaw Moe Tun) ผู้ที่พยายามนำเอาข่าวคราวเหล่านี้ออกมาปูดคราวแล้ว คราวเล่า...ฯลฯ
พูดง่ายๆ ว่า...งานนี้ หนักหนา-สาหัส กว่ายุค “8-8-88” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า และนั่นเองที่กลายเป็นตัวเพิ่มน้ำหนัก ให้กับการป่าวประกาศ การปลุกระดมมวลชน ของรัฐบาล “NUG” ให้น่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง ไม่น้อยไปกว่าความหูแหก-ตาแหกจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดเอาเลยถึงขั้นนั้น ดังนั้น...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ความสับสนอลหม่าน ความโกลาหลจะอุบัติขึ้นมาในเมืองใหญ่ๆ ของพม่าในช่วงนี้ โดยที่รัฐบาลเผด็จการพม่า หรือผู้นำทหารอย่างนายพล “มิน อ่อง หล่าย” จะ “เอาอยู่-เอาไม่อยู่” หรือไม่ ประการใด อันนี้...คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตา เพราะขนาด “กองทัพอัฟกานิสถาน” ที่มีกำลังพลอยู่ถึง 300,000 คน โดยการฝึกปรือ อบรม ของคุณพ่ออเมริกา จู่ๆ...ยังเสร็จ!!! ยังหมดสภาพเอาดื้อๆ เมื่อต้องเจอกับพวกนักรบ “ตอลิบาน” ที่มีกำลังพลอยู่เพียงแค่ 75,000 คนเท่านั้นเอง อันเนื่องมาจากความผิดแผก แตกต่างระหว่าง “สงครามที่เป็นธรรม” กับ “สงครามที่ไม่เป็นธรรม” นั่นแล ที่จะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในขั้นตอนสุดท้าย...