วันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปว่ากันเรื่อง “โควิด-ไม่โควิด” กันอีกสักเที่ยวนั่นแหละทั่น!!! เพราะนอกจากจะเป็นอะไรที่แทบไม่คิดจะหัวตก เหี่ยวปลาย ลงไปมั่งเลย ไม่ว่าจะในระดับทั่วทั้งโลก หรือในบ้านเรา ที่ยังคง “ติดเชื้อ” วันละหมื่นสี่ หมื่นห้า ไม่น้อยกว่าบ้านอื่น เมืองอื่น แถมนับวัน...การคุ้มครอง ป้องกัน การต่อสู้เพื่อเอาชนะกับการแพร่ระบาดของโรคร้ายเหล่านี้ ยังออกจะน่าปวดเศียรเวียนเกล้า ซะเหลือเกิน รวมทั้ง “ผลกระทบ” ที่กำลังตามมา ก็น่าขนลุก ขนพอง น่าสยดสยองไม่น้อยไปกว่ากันอีกด้วยต่างหาก...
คือขณะใครต่อใครในบ้านเรา...อาจเพิ่งมีโอกาสได้ “ฉีดเข็มแรก” สำหรับวัคซีนไม่ว่าจะเป็นประเภทเทพ-ไม่เทพ เป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่สำหรับบรรดาประเทศรวยๆ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป และโดยเฉพาะคุณทวดอิสราเอล เห็นว่า...ขณะนี้กำลังขยับไป-ขยับมา ทำท่าว่าเตรียมจะ “ฉีดเข็มสี่” ให้กับบรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน กันในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้ อันนี้...ถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง หรือจากการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ได้ชื่อว่าค่อนข้างเชี่ยวชาญเอามากๆ ในการคุ้มครอง ป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดนี้ นั่นคือ “นายSalman Zarka” ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ “Ziv Medical Center” ของอิสราเอล กับสถานีวิทยุ “Kan public radio” เมื่อช่วงวันเสาร์ (4 ก.ย.) ที่ผ่านมา...
อันเนื่องมาจาก...แม้ว่าคุณทวดอิสราเอลท่านอาจถือเป็นชาติแรก ที่พยายามกระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้คน ด้วยการตัดสินใจไล่ทิ่ม ไล่จิ้ม “ฉีดวัคซีนเข็มสาม” ให้กับบรรดาชาวอิสราเอลไปแล้วเป็นจำนวนถึง 2.5 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งมวลที่มีอยู่เพียงแค่ 9.3 ล้านคนเท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...แนวโน้มที่จะ “เอาไม่อยู่” มันชักจะเห็นๆ ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที คือจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน ยังคงพุ่งโด่เด่ ระดับ 3 พัน 4 พัน 5 พัน หรือถึง 6,275 คนเอาเลยถึงขั้นนั้น เช่น ช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และในบรรดาผู้ติดเชื้อเหล่านี้ ก็มีทั้งผู้ที่เคยฉีดวัคซีนเทพ อย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าตั้งแต่เข็มแรก เข็มสอง เข็มสาม สำหรับเข็มสองนั้น...ฉีดไปแล้วถึง 5.4 ล้านคน หรือกว่าครึ่ง กว่า 2 ใน 3 ของประชากรอิสราเอลทั้งมวล ส่วนเข็มสามก็ยังพยายามไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ไปถึง 2.5 ล้านคนเป็นอย่างน้อย แต่สุดท้าย...ก็ยังมิวาย “ติดเชื้อ” แบบชนิดงอมๆ แงมๆ กันอีกจนได้!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้ “เจ้าพ่อโควิด” อย่าง “นายSalman Zarka” ท่านเลยต้องออกมาบอกบรรดาชาวอิสราเอลทั้งหลายให้เตรียม “ฉีดเข็มสี่” ต่อไปได้เลย เพื่ออย่างน้อย...ก็อาจช่วยให้สร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี ค.ศ. 2021 หรือต้นปี ค.ศ. 2022 เพราะคาดว่าภูมิคุ้มกันจากการกระตุ้นแล้ว กระตุ้นเล่า มันมีอายุใช้งานเพียงแค่ 5 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปีเท่านั้นเอง โดยเฉพาะสำหรับบรรดาผู้ที่ต้องการ “ปลดปล่อย” ตัวเอง ออกไปจากหน้ากาก จากการเว้นระยะห่างทางสังคม อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไปเข้าคลับ เข้าบาร์ เข้าภัตตาคาร ร้านค้า ฯลฯ กลับไปประกอบ “ธุรกิจ” อันเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆ สำหรับระบบเศรษฐกิจของทุกๆประเทศ ยิ่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของอิสราเอล อย่าง “นายAvigdor Lieberman” ท่านยืนหยัด ยืนกราน ไม่ยอมให้ประเทศอิสราเอลต้องหวนกลับไปสู่การ “ล็อกดาวน์” ต่อไปอีกเป็นเด็ดขาด หนทางที่เหลือ...ก็เลยหนีไม่พ้นต้องฉีดกันชนิดพรุนไปทั้งแขน อย่างที่ปรากฏเป็นข่าวคราวอยู่ในทุกวันนี้...
แต่ก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะอิสราเอลเท่านั้น...ที่ต้องฉีดแล้ว ฉีดอีก ฉีดแล้ว ฉีดเล่า บรรดาประเทศรวยๆ ทั้งหลายไม่ว่าตั้งแต่คุณพ่ออเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี ฯลฯ ก็ดูจะหนีไม่พ้นที่จะต้องเดินหน้าไปในแนวนี้ คือต้องขอร้องให้ฉีด บังคับให้ฉีด เข็มหนึ่ง เข็มสอง เข็มสาม แบบกระตุ้นแล้ว กระตุ้นเล่า อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ เพราะแม้แต่เจ้าพ่อโควิดอีกรายในอเมริกา อย่าง “ดร.แอนโธนี เฟาซี” (Anthony Fauci) ก็เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ไปในแนวเดียวกัน โดยแม้ว่าการฉีดแล้ว ฉีดเล่า ฉีดแล้ว ฉีดอีก คงไม่สามารถ “ปลดปล่อย” ตัวเองไปได้โดยตลอด หรือไม่อาจก่อให้เกิดสิ่งที่เคยหวัง เคยคาด ว่าจะนำไปสู่อะไรบางอย่างที่เรียกๆ กันว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือ “Herd Immunity” ถ้าหากสามารถไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มผู้คนในระดับ 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป...
แต่สุดท้าย...ก็โดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ อีกนั่นแหละ เช่นผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีวันวิทยาและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงที่ออกมานำเสนอรายงานการวิจัย ในหนังสือพิมพ์ “หมิงเป้า” ของฮ่องกง สรุปว่า...โอกาสที่จะเกิด “Herd Immunity” ขึ้นมาได้อย่างที่หวัง ที่คาด คงต้องอาศัยแต่เฉพาะการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพสูงๆ ระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป อย่างประเภท “Pfizer-BioNtec” เท่านั้น และต้องฉีดให้ได้ถึง 97.4 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ไม่ใช่แค่ 70 เปอร์เซ็นต์อย่างที่เคยพูดๆ กันไป ยิ่งถ้าหากดันหันไปใช้วัคซีนที่มีคุณภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันระดับทั่วๆ ไป อย่างเช่น “Sinovac” เป็นต้น อาจต้องไล่ฉีดผู้คนในระดับ 142.9 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่าจำนวนผู้คนภายในประเทศไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อไหร่ อันทำให้สิ่งที่เรียกๆ ว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” นั้น ออกจะเป็น “มายาภาพ” เทียบไม่ได้กับการหันมาสร้างระบบป้องกัน ด้วยการสวมหน้ากาก ด้วยการเว้นระยะห่าง หรือแม้แต่การปิดบ้าน ปิดเมือง หรือการ “ล็อกดาวน์” ฯลฯ อย่างที่เคยทำๆ กันมาโดยตลอดนั่นเอง และโดยแนวคิดดังกล่าว ก็ดูจะสอดคล้อง ต้องกัน กับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษ อย่าง “ดร.อามีร์ ข่าน” (Amir Khan) ที่ออกมาร่ายเรียงบทความทางวิชาการในเรื่องเหล่านี้ เอาไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...โอกาสที่จะ “ปลดปล่อย” ตัวเอง ให้เป็นอิสระแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ไปจากการออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น ออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เต็มที ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับการ “กลายพันธุ์” ไปเป็นสายพันธุ์เดลต้ง เดลตา หรือสายพันธุ์อะไรต่อมิอะไรที่เริ่มผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมา ณ ที่โน้น ที่นี้ อย่างมาก...ก็คงได้แต่ต้องหาทางประคับประคองตัวเอง ด้วยการหันมาฉีดเข็มโน้น เข็มนี้ จนอาจพรุนไปทั้งแขนอะไรประมาณนั้น แม้ว่าไม่เพียงแต่ทำให้เกิด “ความเหลื่อมล้ำ” ในเรื่องวัคซีน การขาดแคลน การเอารัด-เอาเปรียบ การผูกขาดและกักตุน ฯลฯ แต่ยังหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “ผลกระทบ” ที่กำลังตามมา โดยเฉพาะในเรื่อง “เศรษฐกิจ” ไม่ว่าจะพยายามปลุกกระตุ้น พยายามรื้อฟื้น พยายามหาทางให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนไปสู่ความเป็นปกติ ด้วยการฉีดแล้ว ฉีดเล่า กันในลักษณะไหน ก็ตาม...
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้รายงานข้อชี้แนะทางนโยบายครั้งล่าสุด ของ “ธนาคารกลางรัสเซีย” ที่เพิ่งจำหน่ายจ่ายแจก ไปเมื่อวันพุธที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา เลยต้องสรุป “ฟันธง” และ “ฟันเฟิร์ม” ไว้แบบมิดสูบ มิดด้าม ว่าอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้...โลกทั้งโลกอาจต้องเจอกับ “วิกฤตทางการเงิน” ครั้งร้ายแรงไม่น้อยกว่า “วิกฤตปี ค.ศ. 2008-2009” หรือ “วิกฤตซับไพรม์” “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ที่เล่นเอาปั่นป่วนกันไปทั้งโลกนั่นแล โดยจะเกิดขึ้นภายในปี ค.ศ. 2023 และลุกลามไปจนถึงปี ค.ศ. 2024 หรืออีกแค่ปี-สองปีเท่านั้นเอง จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ!!! คงต้องลองหาทางไปสอบถามคุณ “Elvira Nabiullina” ผู้ว่าการธนาคารกลางรัสเซีย ที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้า กับ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่พุ่งขึ้นไปถึง 6.5 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้วในรัสเซียทุกวันนี้ ไม่ต่างไปจากคุณพ่ออเมริกาและอีกหลายต่อหลายประเทศ...
หรือถ้าจะให้สรุปแบบตรงไป-ตรงมา..คงต้องบอกว่า ไม่ว่าที่มา-ที่ไป ไม่ว่าต้นกำเนิดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ท่านจะเป็นมาในลักษณะไหน และจะดำรงคงอยู่ต่อไปอย่างไร แต่โดย “ธรรมชาติ” แล้ว...ดูเหมือนท่านกำลังพยายามบีบบังคับ ให้วิถีทางต่างๆ หรือแม้แต่วิถีชีวิตของผู้คน ต้องผิดแผกแตกต่าง ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ดังนั้น...การหาทางอยู่ร่วมกับท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้จงได้ จึงอาจหมายถึงการปรับตัว ปรับใจ การหาทาง “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับ “ธรรมชาติ” ในแบบสอดคล้อง กลมกลืนให้มากๆ เข้าไว้ ไม่ใช่แบบวัตถุนิยม บริโภคนิยม เหมือนแต่ก่อนเอาเลยก็ไม่แน่!!!