หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ถามว่า อะไรที่ทำให้ทักษิณ เริ่มมีความหวังว่า เขาจะได้กลับบ้าน ถึงกับพูดกับสาวกของเขาว่า จะกลับไทยเร็วๆนี้ทางประตูหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งๆ ที่ทักษิณยังเหลืออายุความที่หนีคดีไปอีกหลายปี
ก่อนที่พูดอย่างนี้ในคลับเฮ้าส์ ถ้าไม่นับตอนที่ทักษิณกลับมาจูบพื้นดินก่อนหน้านี้ทักษิณก็เคยบอกว่าเขาจะกลับมาประเทศ ในวันที่เสื้อแดงฮึกเหิมและพวกเขาเชื่อว่า กำลังจะได้รับชัยชนะ ทักษิณพูดผ่านระบบวิดีโอลิงค์จากต่างประเทศมายังเวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อ 30 มีนา 2552 ว่า "ถ้าเมื่อไหร่ เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพทันที"
ตอนนั้นทักษิณและแกนนำเสื้อแดงมั่นใจว่าพวกเขากำลังได้รับชัยชนะ รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังเพลี่ยงพล้ำ เพราะเชื่อมั่นว่า ตอนนี้องค์ประกอบของฝ่ายเขานั้นประกอบด้วยแก้ว 3 ประการ คือ พรรค แนวร่วม และกองกำลังติดอาวุธ แม้กองกำลังติดอาวุธจะเปิดตัวขึ้นในวันที่ 10 เมษา 2553 จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เสียงปืนแตกหลังจากนั้น ทักษิณก็ไม่กลับมานำหน้าประชาชน
แต่การพูดของทักษิณครั้งนั้นก็ทำให้มวลชนของเขาฮึกเหิม พวกเขาคาดหวังชัยชนะแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ตอนนั้นถ้าพวกเขายอมถอยหลังจากที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับปากว่าจะยุบสภา ก็คงกลับไปเลือกตั้งกันใหม่ และแม้ว่าพรรคของทักษิณมีโอกาสจะชนะอีก แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจเป้าหมายนั้น
ทั้งๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์นั้นมาจากเสียงเลือกตั้งในสภาที่แข่งกันระหว่างเสียงข้างมากกับเสียงน้อย พรรคของทักษิณนั้นไม่ได้สนับสนุนคนในพรรคเข้ามาโหวตแข่งแต่ไปสนับสนุนพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก มาแข่งกับอภิสิทธิ์แล้วแพ้ไป ถ้าตอนนั้นฝ่ายของทักษิณยอมรับว่า นี่เป็นกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาเชิดชูก็ไม่ควรมีม็อบออกมาขับไล่อภิสิทธิ์บนท้องถนน
วิสา คัญทัพ ซึ่งเป็นฝ่ายที่ยอมรับเงื่อนไขยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ของอภิสิทธิ์ จนแตกคอกันออกจากราชประสงค์มาเปิดเผยในบันทึกว่า ฝ่ายที่ไม่ยอมรับเงื่อนไขนั้น เพราะ “ต้องการชัยชนะที่มากกว่านี้” แน่นอนว่า ปริศนานี้ไม่มีคำอธิบายให้แจ่มชัด แต่เป้าหมายที่มากกว่าการเลือกตั้งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ต้องเป็นชัยชนะที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างแน่นอน
ชัยชนะที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินคืออะไร วันนี้หมุดหมายแห่งความหวังของพวกเขาค่อยปรากฏชัดแล้ว เมื่อสามารถปลุกคนรุ่นใหม่ให้ออกมาทะลุเพดานกล้าท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น
แต่ในครั้งนั้นสุดท้ายกองทัพก็ยอมไม่ได้ รวมกับเมื่อประเมินบทเรียนจากเอาทหารถือโล่กับกระบองไปสลายการชุมนุมเมื่อ 10 เมษา ที่สี่แยกคอกวัวแล้ว คราวนี้ทหารจึงมีอาวุธครบมือ แน่นอนว่าแก้ว 3 ประการนั้นไม่เพียงพอที่จะรับมือกับกองทัพได้ และต้องสังเวยอย่างน่าสลดด้วยชีวิตของประชาชนจำนวนมาก
แม้สุดท้ายอภิสิทธิ์จะยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ตามมาด้วยชัยชนะของยิ่งลักษณ์ ใครก็คิดว่าสงครามบนท้องถนนจะจบลงแล้ว เรากลับไปสู้กับในเวทีรัฐสภาระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล ทุกฝ่ายอยู่ในกติกายอมให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศไปเกือบ 3 ปี แต่แล้วเพราะทักษิณอยากจะกลับประเทศนั่นแหละจึงให้เสียงข้างมากในสภานิรโทษกรรมให้ตัวเองเพื่อจะให้กลับประเทศได้ จนเกิดเหตุการณ์การชุมนุมของมวลมหาประชาชน กปปส.ซึ่งต้องนับว่า เป็นการชุมนุมที่มีผู้ออกมาร่วมชุมนุมมากที่สุดเท่าที่เคยมีการชุมนุมในประเทศนี้มา
นั่นแสดงว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่หักหาญสังคมด้วยนิรโทษกรรมสุดซอย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คงอยู่ไปจนหมดสมัยรัฐบาลแล้วเลือกตั้งกันใหม่ แต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก็เพราะทักษิณอยากกลับบ้านอย่างเท่ๆไม่มีความผิดติดตัว และสุดท้ายสถานการณ์กับหักเหมาจนถูกทหารเข้ามายึดอำนาจนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อาจมีคนบอกว่า ฝ่ายกปปส.เป่านกหวีดเรียกให้ทหารออกมาปฏิวัติ แต่สำหรับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เคยยอมรับว่า เหตุผลที่ทหารออกมาปฏิวัติ เพราะมีการใช้กองกำลังติดอาวุธโจมตีผู้ร่วมชุมนุมนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่เหตุการณ์ทั้งหมดก็มาจากการอยากกลับบ้านของทักษิณนั่นแหละ
และวันนี้ความหวังและความอยากกลับบ้านของทักษิณก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพวกเขามั่นใจว่า แนวร่วมของพวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยที่กำลังเข็มแข็งกับการก่อเกิดของพลังของคนรุ่นใหม่กำลังท้าทายระบอบเก่าหรือฝ่ายศักดินาที่พวกเขาใช้เรียกขาน
แม้รัฐบาลประยุทธ์จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลัง และแม้ว่า 2 ปีหลังจะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่า รัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้สง่างาม เมื่อใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้ได้เปรียบจากการมีเสียง 250 ส.ว.อยู่ในมือ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกมวลชนลงถนน
แต่ครั้งนี้เป้าหมายของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ประยุทธ์เพียงอย่างเดียว เมื่อฝ่ายตรงข้ามที่ซ่อนอยู่ข้างหลังสามารถใช้คนรุ่นใหม่ที่มีความห้าวหาญสามารถท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นปราการหลังของรัฐบาลประยุทธ์ แต่ผลที่เหนือความคาดหมายก็คือ คนรุ่นใหม่ที่ถูกบ่มเพาะให้เกลียดชังสถาบันนั้นไม่ได้มีเนื้อหาในการเคลื่อนไหวมากไปกว่าการใช้คำหยาบคาย การแสดงออกที่มุทะลุตามช่วงวัย และความรุนแรงในการเคลื่อนไหว จนต้องเดินเข้าคุกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ก็ค่อยเปิดตัวของคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง อาจารย์มหาวิทยาลัย และปัญญาชนจำนวนหนึ่งที่เป็นคนดันหลังเด็กออกมาด้วยการเปิดตัวออกมาสนับสนุน เป็นนายประกันอย่างเปิดเผย แม้คนรุ่นใหม่เหล่านั้นจะแสดงออกถึงการลบหลู่และอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่กล้าที่จะเดินลงถนนร่วมกับเด็กหรือออกมานำมวลชนทั้งที่มีวัยวุฒิและวุฒิภาวะเหนือกว่าเด็กๆ ที่พวกเขาดันหลังจำนวนมาก
และแม้จะมีการแสดงออกอย่างเปิดเผยเพื่อขู่ว่า ถ้าไม่ยอมปฏิรูปก็จะต้องปฏิวัติ หรือเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสาธารณรัฐก็เป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลที่ถูกมองว่า เป็นรัฐบาลกึ่งเผด็จการกลับปล่อยให้การกระทำแบบนี้เกิดขึ้นทั้งที่ผิดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ
หนำซ้ำในปัจจุบันกลับมีคนบางฝ่ายดันหลังให้เด็กที่มีความห้าวหาญคึกคะนองจัดตั้งกองกำลังไปปะทะกับตำรวจเพื่อท้าทายอำนาจรัฐไม่เว้นแต่ละวัน
แน่นอนเราอาจมองว่ารัฐบาลประยุทธ์กำลังจะอ่อนแอด้วยสงครามโควิดที่ยากจะรับมือ แต่นอกจากความเพลี่ยงพล้ำในสงครามโรคระบาดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กำลังถูกตั้งคำถามว่า มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้หรือไม่ นั่นคือภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ฝ่ายท้าทายทั้งนักการเมือง นักวิชาการ ปัญญาชนเปิดเผยตัวตนออกมาสนับสนุนม็อบแบบโจ่งแจ้งขึ้นทุกที
และความฮึกเหิมของคนรุ่นใหม่ รัฐบาลที่อ่อนแอ และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่กำลังถูกท้าทายนี่เองที่ทำให้ทักษิณออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง ในทางเปิดแม้เขาแสดงตัวไม่หนุนคนรุ่นใหม่ในการท้าทายต่อสถาบัน แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดที่เขาสามารถสื่อออกมาต่อสาธารณะได้เท่านั้น แต่แท้จริงรู้กันว่า กระบวนการทั้งหมดมันเชื่อมโยงกัน คนที่รายล้อมทักษิณคือคนที่อยู่เบื้องหลังคนรุ่นใหม่ที่กำลังเกรี้ยวกราดท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น พรรคของทักษิณกับพรรคที่สนับสนุนการท้าทายต่อสถาบันนั้นต่างเกื้อหนุนจุนเจือกัน แม้พักหลังจะทะเลาะกันบ้างก็ตาม
สิ่งที่ทักษิณหรือในนามโทนี่แสดงให้เห็นคือ เขาสามารถสื่อสารและเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ได้ และคนรุ่นใหม่ก็มองว่าทักษิณมีศัตรูร่วมกับพวกเขา จนไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีการทุจริตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากในเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ ฆ่าตัดตอนยาเสพติด จะพลิกกลับมาเป็นเทพเจ้าที่ทำให้คนรุ่นใหม่โตไม่ทันเคลิ้มกับคำพูดของเขา
แต่ต้องยอมรับว่า การกลับมามีความหวังอีกครั้งของทักษิณนั้น ด้านหนึ่งก็สะท้อนถึงความอ่อนแอของรัฐบาลประยุทธ์นั่นแหละ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan