วันนี้ประเทศไทย กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนเดือดร้อนจากการเจ็บป่วย ล้มตาย และรายได้หด เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่แย่อยู่แล้วให้แย่ลงไปอีก ทั้งนี้เนื่องจากเหตุปัจจัยขั้นพื้นฐานของประเทศ อันมีมาแต่เดิมและปัจจัยซ้ำเติมดังต่อไปนี้
1. ปัจจัยขั้นพื้นฐาน
1.1 ประเทศไทย โดยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ดิน ฟ้า อากาศเหมาะแก่การทำเกษตรกรรม
ดังนั้น คนส่วนใหญ่ของประเทศมีอาชีพเกษตรกรอันได้แก่ การทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และการประมง
ผลผลิตที่ได้จากการทำเกษตรกรรมส่วนหนึ่งบริโภคภายในประเทศ และส่วนหนึ่งส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศ
ดังนั้น ในปีใดราคาผลผลิตทางการเกษตรในตลาดโลกตกต่ำ อันเนื่องมาจากปริมาณการผลิตทางด้านการเกษตรของทุกประเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออก รวมกันแล้วมีปริมาณเกินความต้องการของประชากรโลก ราคาก็จะถูก เนื่องจากมีการขายตัดราคากัน โดยเฉพาะผลผลิตที่คุณภาพต่ำ ก็จะส่งผลให้ราคาผลผลิตภายในประเทศต่ำไปด้วย ทำให้เกษตรกรเดือดร้อน เนื่องจากราคาขายไม่คุ้มทุนที่ลงไป
1.2 เมื่อประเทศไทย หันมาพัฒนาอุตสาหกรรมแรงงานจากภาคเกษตร ส่วนหนึ่งได้ไหลเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือ มีรายได้ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะเดือดร้อนทันทีที่ผู้ประกอบการประสบปัญหาราคาสินค้าอุตสาหกรรมตกต่ำ หรือส่งออกไม่ได้ ทางออกเดียวที่ผู้ประกอบการต้องทำคือลดต้นทุน ด้วยการปลดคนงานหรือปิดกิจการทำให้แรงงานเดือดร้อน ดังเช่นที่เกิดในขณะนี้
2. ปัจจัยซ้ำเติม
2.1 นับตั้งแต่โควิด-19 ระบาดในประเทศ เมื่อต้นปี 2563 เป็นต้นมา ประชาชนคนไทยเดือดร้อนจากการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อนับจำนวนแสน และเสียชีวิตนับจำนวนพัน ทั้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่การจัดการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนทำได้ไม่ทั่วถึง และการควบคุมมิให้เกิดการแพร่เชื้อด้วยมาตรการทางสังคมกระทำได้ไม่ดีพอ
ดังนั้น การระบาดของโควิด-19 จึงเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่สุด และที่สุดมากกว่าปัจจัยอื่นใดเท่าที่เคยมีมา
2.2 ในขณะนี้ปัจจัยตามข้อ 2.1 รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การดำเนินการป้องกันและรักษาภายใต้การดำเนินงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น จะเห็นได้จากการจัดหาวัคซีน และการตรวจหาผู้ติดเชื้อกระทำได้อย่างเชื่องช้า แถมมีการขัดขากันเอง
ด้วยเหตุปัจจัยทั้งสองประการข้างต้น ทำให้คนไทยเดือดร้อน และกำลังจะสิ้นหวังกับการทำงานของรัฐบาล จึงส่งผลให้เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเกิดขึ้น ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากการชุมนุมทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพของการชุมนุม และคงจะขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ออกจากตำแหน่งได้ยาก ทั้งนี้อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. จำนวนผู้ชุมนุมไม่มากพอ เมื่อเทียบกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ และ กปปส.ที่ผ่านมา
2. ข้อเรียกร้องของการชุมนุมมีวาระซ่อนเร้น โดยการสอดแทรกการล้มสถาบันเข้ามาปนกับการเมือง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งยังจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ร่วมด้วย และแกนนำส่วนหนึ่งออกมาต่อต้านด้วย จึงทำให้การชุมนุมคืบหน้าไปได้ยาก
3. ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มีเจตนาดี แต่ไร้ประสบการณ์ ทั้งยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของสังคมไทยที่ผูกพันอยู่กับ 2 แกนหลักคือ วัดกับวัง ซึ่งเป็นจุดแข็งของสังคมไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับการชุมนุมแต่ละครั้งมีการพูดจาบจ้วงถ้อยคำหยาบคาย ไร้วัฒนธรรม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่โดยผู้นับถือพุทธรับไม่ได้ เพราะการพูดจาในทำนองนี้เข้าข่ายวจีทุจริต เป็นการทำร้ายด้วยวาจา เมื่อเป็นเช่นนี้จะเรียกได้ว่าชุมนุมด้วยสันติวิธีได้อย่างไร เพราะถ้าว่าตามหลักพุทธแล้ว ความสงบหรือสันติจะต้องปราศจากการทำร้ายกันด้วยกาย และวาจา