ตอนนี้ภูมิภาคอาเซียนกำลังเป็นขาขึ้นของโควิด เผชิญภาวะหนักหน่วงไม่แพ้กันทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ พม่า และเวียดนาม เวียดนามนั้นจัดการได้ดีเหมือนกับไทยเมื่อปีที่แล้ว แต่ตอนนี้กำลังหนักแม้จะยังไม่เท่าไทย มาเลเซีย อินโดฯตอนนี้ แต่ก็เป็นขาขึ้นเหมือนกัน
อินโดฯ มีคนเสียชีวิตไปแล้ว 1 แสนคน มาเลเซียมีคนเสียชีวิตไปแล้วเกือบหมื่นคน ฟิลิปปินส์มีคนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 2.8 หมื่นคน ไทยเราเสียชีวิตไป 5 พันกว่าคน ดังนั้นโควิดจึงเป็นชะตากรรมร่วมกันไม่ใช่แค่ของอาเซียนแต่เป็นของคนทั้งโลก และถ้าโทษรัฐบาลก็เหมือนกันหมดทั้งโลกว่ารัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดการกับปัญหาโควิดได้
แม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งฉีดวัคซีนเทพ mRNA ไปแล้วกว่า 50% ปัจจุบันก็ยังมีคนติดเชื้อวันละหลายหมื่นคนไปจนถึงแสนคน ตายไปแล้ว 6 แสนกว่าคน ตอนนี้มีการยอมรับแล้วว่าวัคซีนที่มีอยู่นั้นเอาเชื้อกลายพันธุ์เดลตาไม่อยู่ แม้จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วก็ยังติดเชื้อได้ทั้งในสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และอินเดีย
แต่แม้ว่า ภาระที่รัฐบาลต้องแบกรับอยู่ไม่ต่างกับรัฐบาลทุกประเทศทั่วโลก ก็ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะไม่มีความผิดพลาดในการรับมือกับโควิดเลย เพราะเป็นอย่างที่ทราบและยอมรับแล้วจากผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนว่า เรามีความผิดพลาดในการสั่งจองวัคซีนที่ควรจะจองตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เพราะชะล่าใจว่าเราสามารถจัดการกับการระบาดได้ดี
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันอุปทานของวัคซีนในโลกยังไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ ตลาดจึงเป็นของผู้ขาย และวัคซีนจำนวนมากถูกจองในประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกจนเกินความต้องการของประชาชนในประเทศ จนสามารถใช้การทูตวัคซีนเพื่อนำมาบริจาคให้กับประเทศที่ขาดแคลนได้ ในขณะที่จีนและอินเดียนั้นสามารถพึ่งพิงวัคซีนที่ผลิตในประเทศของตัวเองได้
เราต้องเข้าใจว่า การสั่งจองวัคซีนไม่ใช่ว่าจะได้มาโดยง่าย องค์การอนามัยโลกได้ออกมาตำหนิประเทศยักษ์ใหญ่ที่กวาดซื้อวัคซีนไว้ในมือ จนไม่เหลือให้ประเทศที่กำลังยากจน จนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำ ประเทศที่ร่ำรวยบางประเทศกำลังให้วัคซีนแก่เด็กที่อายุน้อยกว่า 12 ปี ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะเป็นโรคโควิด-19 ที่รุนแรง ในขณะที่ประเทศที่ยากจนกว่าไม่มีวัคซีนเพียงพอแม้สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างคือ รัฐบาลถูกตั้งคำถามในการกระจายวัคซีนที่อิงกับอำนาจทางการเมืองมากกว่าความรุนแรงของการระบาดในแต่ละพื้นที่ จนทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดิ้นรนหาวัคซีนทางเลือกมาฉีดให้กับประชาชนด้วยเงินของตัวเอง ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องรับผิดชอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้
ระบบราชการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อสถานการณ์ ระบบจัดซื้อจัดจ้าง การอนุมัติสัญญาที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน หรือแม้แต่การรับรองวัคซีนของ อย.ก็ยังมีขั้นตอนที่ยาวนานแม้ว่าวัคซีนนั้นจะได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกแล้วก็ตาม และแม้แต่เราจะมีนายกรัฐมนตรีเป็น single command แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลดขั้นตอนในระบบราชการลงมา
นี่โชคดีสัปดาห์ที่ผ่านมา ศบค.มีการจัดประชุมและออกมติมาในวันอาทิตย์ไม่ใช่รอประชุมตามวาระในวันศุกร์ปกติแล้วมาเข้า ครม.ในวันอังคารเหมือนกับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและเหมือนไม่รู้ว่าการติดเชื้อโควิดนั้นไม่มีวันหยุดราชการไม่มีวาระแต่เกิดขึ้นทุกเสี้ยววินาที
ไม่ต้องพูดถึงความผิดพลาดที่นำมาสู่การระบาดระลอกที่สองที่ปล่อยให้มีการลักลอบเข้าเมือง บ่อนการพนัน จนถึงระลอกที่สามในช่วงก่อนสงกรานต์ที่เกิดขึ้นในสถานบันเทิงที่มีนายตำรวจใหญ่เป็นหุ้นส่วน และบัดนี้เรื่องการหาคนรับผิดชอบได้เงียบไปแล้ว มาจนถึงความผิดพลาดในการไม่ควบคุมการเดินทางก่อนสงกรานต์ที่รู้แล้วว่ากำลังมีการระบาดรุนแรงจนมีการแพร่เชื้อไปยังต่างจังหวัด และไม่สามารถรับมือได้จนถึงตอนนี้ ยังไม่รู้เลยว่า ยอดผู้ติดเชื้อจะวิ่งขึ้นไปจนถึงวันละกี่หมื่นคน และไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับสถานการณ์เพื่อกดยอดผู้ติดเชื้อให้ลดลงมาได้อย่างไร
วันนี้ในแต่ละจังหวัดนอกเหนือจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลับพบว่ามีผู้ติดเชื้อแต่ละวันจำนวนมาก จนใกล้จะเกินกำลังรับของระบบสาธารณสุขเช่นเดียวกัน แม้ว่า รัฐบาลจะหันมาสนับสนุนการรักษาตัวเองแบบ Home isolation หรือ Local isolation รัฐบาลก็ต้องทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อระบบนี้เสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นต่อระบบนี้ของประชาชนยังไม่มากนัก เพราะทุกคนกลัวตายและอยากให้ถึงมือหมอเหมือนกันหมด
ในขณะที่การตรวจหาผู้ติดเชื้อก็ทำได้ตามศักยภาพที่จำกัด แต่เชื่อกันว่า ยอดผู้ติดเชื้อจริงๆ มีมากกว่านั้น ในขณะที่เคยมีการให้ข้อมูลว่าเราตรวจเชื้อได้วันละประมาณ 20,000 คน? แต่ต่อไปคิดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นเมื่อมีการอนุมัติให้ใช้การตรวจแบบ Antigen test kit ได้
แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องทำก็คือ ทำอย่างไรให้ยอดผู้เสียชีวิตน้อยลง ในสหราชอาณาจักรแม้จะมีผู้ติดเชื้อแต่ละวันในปัจจุบันพอๆ กับไทย แต่ผู้เสียชีวิตต่อวันไม่ถึงร้อยคน ฝรั่งเศสทุกวันนี้ยังมียอดผู้ติดเชื้อสูงถึงวันละ 2-3 หมื่นคน แต่สามารถกดยอดผู้เสียชีวิตลงมาที่หลักสิบ สิ่งที่การเสียชีวิตในบ้านเราสูงขึ้นก็เพราะผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษาได้ล่าช้า และอุปกรณ์การช่วยชีวิตเตียงคนไข้ไม่เพียงพอจนหมอต้องเลือกที่จะช่วยชีวิตคนที่มีโอกาสรอดมากกว่านั่นเอง
ปัญหาอีกอย่างก็คือ การพ่ายแพ้ในสงครามข้อมูลข่าวสารที่จะทำความเข้าใจกับประชาชน ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่า มาตรการที่รัฐบาลกำลังนำมาใช้นั้นจะนำประเทศไปสู่แนวทางไหนอย่างไร เพื่อให้สังคมเกิดความหวังว่าเราจะรอดจากวิกฤตครั้งนี้
การรายงานของโฆษก ศบค.แต่ละวันนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะกลายเป็นงานประจำที่แจ้งสถานการณ์กว้างๆ มากกว่าการทำสงครามข้อมูลข่าวสารเพื่อสู้กับการโจมตีจากฝ่ายที่ไม่หวังดี หรือการชี้แจงต่อข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพลาดในเชิงนโยบาย
ทุกวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแทบจะไม่ออกมาสื่อสารกับประชาชนอย่างเป็นทางการเลย แต่ก็นั่นแหละเรารู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์นั้นไม่มีทักษะในการสื่อสารเมื่อดูจากการออกมาสื่อสารที่ผ่านมา แต่เราไม่มีใครสักคนเลยหรือที่มีความน่าเชื่อถือ ที่เป็นหลักให้สังคมได้ออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนที่มากกว่าการแถลงประจำวันของโฆษก ศบค.
หรือที่สังคมเขามีข้อสงสัยครับว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ผอ.ศปก.ศบค.นั้น ควรจะเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงที่เป็นทหารหรือไม่ หรือควรจะเป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องระบบสาธารณสุข หรือไม่ก็ควรรู้เรื่องระบบเศรษฐกิจไหม หรือเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่จะออกมาสื่อสารกับประชาชนได้
เข้าใจว่าสถานการณ์มันเกิดขึ้นทั่วโลก แต่รัฐบาลเองก็ต้องยอมรับว่ามีความผิดพลาดไม่น้อยและต้องแก้ไขความผิดพลาดให้เร็วด้วย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan