วันนี้...สงสัยคงต้องแวะไปดูฉากสถานการณ์ความเป็นไปของอดีตมหาอำนาจระดับ “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” อย่างประเทศอังกฤษเขาดูสักหน่อย โดยเฉพาะในการสู้รบปรบมือกับ “ศัตรูที่มองไม่เห็น” อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 อันเนื่องมาจากความพยายามที่จะปลดล็อก คลายล็อก หรือไม่คิดจะบังคับ ควบคุม อะไรต่อมิอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าการสวมหน้ากาก-ไม่สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง-ไม่เว้นระยะห่าง ฯลฯ ของรัฐบาลนายกฯ หัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ที่ทำให้บรรดาผู้ดีอังกฤษออกอาการกระดี้กระด้า ถือเป็น “วันแห่งอิสรภาพ” หรือ “วันแห่งเสรีภาพ” (Freedom Day) อะไรก็แล้วแต่...แต่ไปๆ-มาๆ มันชักทำท่าว่าอาจกลายไปเป็น “วันแห่งมรณภาพ” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
คือกระทั่งระดับมหามิตร...อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่เคยยืนหยัดเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอังกฤษมาโดยตลอด ชนิดถ้าว่ากันตาม “ทฤษฎีสมคบคิด” อาจถือเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกัน ระดับ “รัฐบาลแองโกล-อเมริกา” เอาเลยก็ว่าได้ แต่ล่าสุด...ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน หรือศูนย์ป้องกันควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ อย่าง “CDC” (Centers for Disease Control and Prevention) จำต้องออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด “ห้าม” หรือ “เตือน” ไม่ให้บรรดาชาวอเมริกันชน เดินทางไปเยือนเกาะอังกฤษ โดยเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ด้วยเหตุเพราะโอกาสที่จะติดโรค ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินตะระเดีย หรือสายพันธุ์ไหนๆ ก็แล้วแต่ ย่อมมีความเป็นไปได้...สูง...เอามากๆ!!!...
ส่วนบรรดาชาวอังกฤษ...หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เคยอาศัยอยู่ในอังกฤษ จำนวนไม่น้อยกว่า 26 ชาติ ไม่ว่าจีน อินเดีย แอฟริกาใต้ ไอร์แลนด์ อิหร่าน บราซิล ฯลฯ ที่คิดจะเดินทางเข้ามายังอเมริกา ก็ยังถูกห้าม ถูกกักตัว เอาไว้ดื้อๆ ทั้งนั้น ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากความกลัวว่า “วันแห่งอิสรภาพ-เสรีภาพ” ของชาวอังกฤษ อาจกลายเป็น “วันมรณภาพ” อย่างที่ว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละ คือจะกลายเป็นตัวเพิ่มการแพร่เชื้อ แพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ชนิดที่ทำให้บรรดาอเมริกันชน ซึ่งไม่คิดจะยกการ์ด ตั้งการ์ด อีกต่อไปแล้วเช่นกัน จนทำให้การแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อหวนกลับมาสู่หลักหมื่น หลักแสน อยู่แล้วในทุกวันนี้ อาจพุ่งระเบิดเถิดเทิง ไปอีกเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ก็มิอาจคาดคะเนได้...
คือความพยายามเปลี่ยนทัศนะ มุมมอง ของคนอังกฤษต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ซึ่งไม่คิดจะเหี่ยวปลายลงไปสักทีด้วยแนวคิดที่เรียกๆ กันว่า “ยุทธศาสตร์ภูมิคุ้มกันหมู่” หรือด้วยความเชื่อที่ว่า...บรรดาผู้ที่ “ฉีดวัคซีน” แอสตร้าเซนเนก้า หรือยี่ห้อใดๆ ก็แล้วแต่ ไปเรียบร้อยแล้วไม่ว่าเข็มแรก หรือเข็มสอง ย่อมไม่ถึงกับต้องตายโหง ตายห่า ไปก่อนกำหนดการ หรือสามารถประคับประคองตัวเอง “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับท่านเชื้อไวรัสโควิดได้ไม่ยาก ชนิดแทบไม่ต่างไปจากการอยู่ร่วมกับ “เชื้อไข้หวัดธรรมดา” หรือ “ไข้หวัดใหญ่” อะไรทำนองนั้น ส่วนที่อาจต้องตายโหง ตายห่า ต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปตามสภาพ อาจหนักไปทางพวกที่ “แก่แล้ว-แก่เลย” คือผู้ที่มีอายุ อานาม ระดับ 80 ปีขึ้นไป...
ดังนั้น...เมื่อบรรดาผู้ดีอังกฤษโดยส่วนใหญ่ หรือเกือบ 87 เปอร์เซ็นต์เอาเลยก็ว่าได้ ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีก 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ได้รับการฉีดเข็มสอง จนพอที่จะมั่นอก มั่นใจ ว่าจำนวนผู้ตายโหง ตายห่า ในระยะต่อไป ไม่น่าจะถึงกับมากมายสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากต่างก็มี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น การตัดสินใจยกเลิกมาตรการคุมเข้มต่างๆ เพื่อให้บรรดาชาวอังกฤษไม่ต้อง “อดตาย” ด้วยเหตุเพราะผลิตผลมวลรวมภายในประเทศ ที่ไหลรูด ทะรูดทะราด ลงไปไม่น้อยกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ นับจากต้องเจอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด เป็นต้นมา อาจพอได้รับการฟื้นฟู บูรณะ ให้เงยหน้า อ้าปาก ขึ้นมาได้มั่ง!!!
แต่ก็นั่นแหละ...การหันมาตัดสินใจลักษณะเช่นนี้ หรือในขณะที่ท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ท่านปรับตัว ปรับสภาพ กลายพันธุ์ไปเป็นสายพันธุ์ “เดลตา” ที่บรรดา “วัคซีน” ชนิดไหนต่อชนิดไหน แทบ “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้น จึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกด่าว่า ด่าทอ เผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่านายกฯ “บิ๊กตู่” ของบ้านเราเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าภายในประเทศอังกฤษ หรือนอกประเทศก็ตาม อย่างที่อดีตที่ปรึกษารัฐบาลอังกฤษ “นายNeil Ferguson” สรุปว่า เป็นการปรับมุมมอง ปรับทัศนะคติแบบ “สายตาสั้น” หรือเป็นการมองในลักษณะไม่ต่างไปจาก “นักการพนัน” ที่คิดจะ “เสี่ยง” ในการแทงสูง แทงต่ำ โดยไม่ได้มีหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ มารองรับ หรือเลขานุการทั่วไปด้านธรรมาภิบาลแห่งมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ “นางGao Jian” ที่อาจกำลังหงุดหงิดกับการเข้าร่วมในการยั่วยวนกวนส้นตีน ของกองทัพเรืออังกฤษบริเวณช่องแคบไต้หวัน ถึงกับออกมาสรุปว่า... “อังกฤษกำลังกลายเป็นตัวอย่างแห่งความผิดพลาดในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19” ในระดับโลกเอาเลยทีเดียว...ฯลฯ ฯลฯ
แต่ที่ออกจะหนักหนาสาหัส เห็นจะเป็นการเปิดเผย ให้สัมภาษณ์ ของอดีตที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกฯ หัวกระเซิง “บอริส จอห์นสัน” เองนั่นแหละ คือ “นายโดมินิก คัมมิงส์” (Dominic Cummings) ต่อสำนักข่าว “BBC” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ที่ระบุเอาไว้ทำนองว่า...โดย “ความเชื่อ” ของนายกฯ อังกฤษรายนี้ เชื่อว่าผู้ที่อาจต้องตายโหง ตายห่า เพราะเชื้อไวรัสดังกล่าว มักเป็นพวกที่ “แก่แล้ว-แก่เลย” เป็นหลักใหญ่ หรือผู้ที่อายุเลยกว่า 80 ปีขึ้นไป ที่มีอยู่ในเกาะอังกฤษแค่ประมาณ 3 ล้านคนเท่านั้นเอง การเสนอให้ “ล็อกดาวน์” เกาะอังกฤษทั้งเกาะ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จึงถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากนายกรัฐมนตรีรายนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าอาจนำมาซึ่งการ “ฆ่าเศรษฐกิจ” ของชาวอังกฤษทั้งมวล หรือกลายเป็นการทำลายวิถีชีวิต การเงยหน้าอ้าปาก ของบรรดาคนหนุ่ม-คนสาว ที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อทำให้อังกฤษกลับคืนไปสู่ “ความเป็นมหาอำนาจครั้งใหม่” ตามที่นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษเคยป่าวประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ หรือเพื่ออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่...
แต่ที่น่าเกลียด-น่าชัง เอามากๆ ก็คือว่า...ขณะที่สำนักนายกรัฐมนตรีอังกฤษ หรือภายในคณะรัฐบาลเกิดข่าวคราวการติดเชื้อ แพร่เชื้อ จนแทบไม่รู้ว่าไผเป็นไผ ใครเป็นใคร ใครติดเชื้อ-ไม่ติดเชื้อ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อย่าง “นายบอริส จอห์สัน” กลับดิ้นรน ทุรนทุราย กะจะ “เข้าเฝ้า” พระราชินีอังกฤษ พระนาง “เอลิซาเบธที่ 2” ซึ่งมีพระชนมายุประมาณ 95 ปีให้จงได้!!!ไม่ว่าใครจะเตือน จะห้ามปราม ว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบกับ “คนแก่” เพียงใดก็ตาม อันนี้นี่แหละ...ที่ยังทำให้บรรดาชาวอังกฤษที่ยังคงความจงรักภักดีทั้งหลาย แทบ “รับไม่ได้” หรือถึงกับต้องเสนอให้มีการ “ไต่สวนสาธารณะ” ต่อนายกรัฐมนตรีรายนี้ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการเอาเลยทีเดียว...
สรุปรวมความแล้ว...จากตัวเลขจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวันของเกาะอังกฤษ ที่เด้งกลับมาถึงระดับ 50,000 กว่าคนเข้าไปแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมไม่น้อยกว่า 5-6 ล้านคน จำนวนคนตายปาเข้าไปถึง 128,727 ราย ทำให้วันแห่งเสรีภาพ หรือวันแห่งอิสรภาพของบรรดาผู้ดีอังกฤษทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความน่าหลงใหล ได้ปลื้ม น่าชื่นชม ยินดี ต่อบรรดาชาวโลกมากมายสักเท่าไหร่ ยังกลับก่อให้เกิดความน่าหวาดหวั่นขวัญสยอง น่าขนลุกขนพอง ต่อบรรดาผู้ที่จับจ้องเข้าไปยังเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ว่าวันดังกล่าวอาจกลายสภาพไปเป็น “วันแห่งมรณภาพ” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ และนั่นเองที่ทำให้แม้แต่ “พันธมิตร” ที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่ เคยหวังที่จะควบคุมโลกทั้งโลกเอาไว้ด้วย “รัฐบาลแองโกล-อเมริกัน” อย่างรัฐบาลอเมริกาของ “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องขออนุญาตห้ามไม่ให้ชาวอังกฤษ หรือผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในเกาะอังกฤษ เข้ามาป้วนๆ เปี้ยนๆ เข้ามาสร้าง “ปราสาททรายภูเก็ต” หรือ “ปราสาททรายเชียงใหม่” ในอเมริกาโดยเด็ดขาด!!! และนั่นยิ่งทำให้ “เศรษฐกิจอังกฤษ” ยิ่งย่อมมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง...