รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความกังวลของอาการโรคประหลาดซึ่งถูกสงสัยว่าเป็นโรค “ฮาวานา ซินโดรม” ซึ่งมักเกิดกับบรรดาสายลับ เจ้าหน้าที่หน่วยงานข่าวกรอง นักการทหาร นักการทูต ที่ประจำการในหลายประเทศในยุโรป
อาการโรคพิศวงเกิดขึ้นในคิวบาในช่วงปี 2016-17 ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตของสหรัฐฯ และแคนาดาสังเกตว่ามีความผิดปกติต่อสภาพร่างกาย โดยมีอาการวิงเวียนศีรษะ เสียการทรงตัว การได้ยิน และมึนงง มีผลต่อเนื่อง
ขั้นแรกมีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นผลของการโดนโจมตีโดย “คลื่นพลังโซนิก” ซึ่งทางการสหรัฐฯ ได้กล่าวหาคิวบาว่าได้กระทำการส่งคลื่นโซนิกรบกวนสถานทูต แต่ทางการคิวบาปฏิเสธอย่างแข็งขัน และเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นของความขัดแย้ง
ในปี 2019 สหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาเชิงวิชาการว่าด้วย “ความผิดปกติ” ของสภาพสมองของเจ้าหน้าที่สถานทูตในคิวบาซึ่งล้มป่วย แต่ทางการคิวบายังปฏิเสธ
การใช้พลังคลื่นรบกวนมีความเป็นไปได้เพราะมีผลกระทบต่อระบบประสาททุกส่วนและสมอง เป็นคลื่นไร้เสียง แต่สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจนพิการ และเป็นส่วนหนึ่งของการรบกวนการปฏิบัติงานของฝ่ายตรงข้าม
สหรัฐฯ และคิวบาขาดความสัมพันธ์ยาวนานกว่า 50 ปี เพิ่งมารื้อฟื้นงานสถานทูตในยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา และผู้นำฟิเดล คาสโตร แต่มาถูกลดระดับ กลายเป็นมาตรการคว่ำบาตรในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ช่วงนี้ประชาชนคิวบาได้ชุมนุมเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เรียกร้องสิทธิพลเมือง การรักษาพยาบาล ปัญหาการขาดแคลนอาหาร การระบาดของโควิด-19 และการที่ประชาชนยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน คิวบากล่าวหาว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง
ล่าสุดทางการสหรัฐฯ ได้ตรวจสอบอาการป่วยที่ว่านี้ซึ่งได้เกิดกับเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หลายคนประสบปัญหาสุขภาพที่ว่านี้ ข่าวเรื่องนี้ถูกรายงานโดยนิตยสารเดอะนิวยอร์กเกอร์
จากนั้นกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ยอมรับว่าได้มีการศึกษาและตรวจสอบอาการเจ็บป่วยของเจ้าหน้าที่จริง พร้อมยืนยันว่า “สวัสดิภาพความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่การทูตและครอบครัวถือว่าเป็นวาระสำคัญสูงสุดสำหรับรัฐบาล”
ออสเตรีย โดยเฉพาะกรุงเวียนนาถือว่าเป็นเมืองสำคัญเชื่อมรอยต่อระหว่างยุโรปตะวันตกกับตะวันออก เป็นแหล่งชุมนุมของสายลับและหน่วยงานข่าวกรองของแทบทุกชาติ สถานทูตสหรัฐฯ ก็มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่เป็นจำนวนมาก
ถือได้ว่าเวียนนาเป็นแหล่งที่มีจารชนและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสืบหาข่าว ระหว่างค่ายสหรัฐฯ และพันธมิตร และฝ่ายรัสเซีย รวมทั้งจีนและเกาหลีเหนือ มาตรการความปลอดภัยต่างๆ จึงถูกยกระดับนับตั้งแต่เกิดอาการโรคลึกลับ
กระทรวงการต่างประเทศยังได้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในสถานทูตในกรุงเวียนนา และสถานที่แห่งอื่นซึ่งมีรายงานเกี่ยวกับสภาวะผิดปกติของอาการในร่างกายเกี่ยวโยงกับ “ฮาวานาซินโดรม”
อาการของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในออสเตรียมีความหลากหลาย ทั้งปวดหัว มีแรงกดดันที่ศีรษะ บางครั้งก็มีเสียงหวีดแหลมก้องในรูหู ความรู้สึกโหวงเหวงของร่างกายยามเคลื่อนไหว มีอาการแบบเป็นๆ หายๆ บางรายถูกตรวจอาการผิดปกติของสมอง
ยอดรวมของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ป่วยด้วยอาการเช่นนี้มีมากกว่า 20 รายนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย รวมทั้งจีนและคิวบาก็ไม่ได้ดีขึ้น
สถานการณ์ต่างๆ ในช่วงของไบเดนเริ่มถูกมองว่าเป็นสงครามเย็นรอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ ฝ่ายหนึ่ง และสหรัฐฯ จีนและพวก อีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งมีการเผชิญหน้ากันในทะเลจีนใต้ คาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งพื้นที่ในทะเลเหนือ ทั้งส่อแววว่าจะเลวร้ายลง
เจ้าหน้าที่รัฐบาลออสเตรียก็ยอมรับว่าได้มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่ว่านั้นร่วมกับทางการสหรัฐฯ เพื่อให้รู้ถึงก้นบึ้งของสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้
กรุงเวียนนาช่วงนี้ได้เป็นเวทีสำหรับการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และอิหร่านในเรื่องฟื้นฟูความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับข้อตกลงว่าด้วยการควบคุมการปฏิบัติงานพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ในอิหร่านซึ่งสหรัฐฯ ได้ถอนตัวในยุคของทรัมป์
นอกจากนั้นอาการป่วยอย่างนี้ยังเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตสหรัฐฯ ในรัสเซีย จีน และอีกหลายแห่งทั่วโลก รายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งรับรู้รายงานเกี่ยวกับโรคประหลาดนี้ได้บ่งชี้ว่าตัวเลขของเหยื่อโรคนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้รายงานในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า สภาพเช่นนี้ได้เกิดขึ้นใกล้กับทำเนียบขาว มีผลต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองและความมั่นคง
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งเวียนถึงหน่วยงานต่างๆ ซึ่งครอบคลุมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายพลเรือน ให้รายงานด่วนหากมีเหตุการณ์อย่างที่ว่าเกิดขึ้นในพื้นที่ใด และกรณีสงสัยว่ามีอาการป่วยอย่างนั้น
กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้ยกระดับมาตรการป้องกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่แสดงความกังวลเพราะสภาวะที่ว่านี้เกิดขึ้นหลายแห่งในโลก และอาจเป็นส่วนหนึ่งของงานจารกรรมและทำลายสุขภาพ เป็นสงครามคลื่นโซนิกที่ไม่เป็นทางการ
ต้องรอดูว่าจากนี้ไป จะมีปัญหากับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อีกต่อไปหรือไม่