ออกมาแล้วสำหรับมาตรการคุมเข้มเพื่อรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ทะลุเส้นตัวเลข 4 แสนคนไปแล้ว และยังมีศักยภาพที่จะไปได้อีกเพราะการติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันยังพุ่งทะยานไม่หยุด
ที่เพิ่มชัดเจนคือจำนวนจังหวัดที่อยู่ภายใต้สภาวะควบคุมพิเศษ สะท้อนให้เห็นการระบาดว่าหนักหนาสาหัส ทำให้ระบบสาธารณสุขเสี่ยงต่อการล่มสลาย แต่ก็มีคำพูดปลอบประโลมว่าประเทศไทยยังห่างจากสภาวะเช่นนั้น
มาตรการที่ออกมาเหมือนกับที่ประกาศในเดือนเมษายนปี 2563 ซึ่งยังเป็นช่วงเริ่มต้นของปัญหา ได้ผลตามต้องการเพราะยังไม่มีการระบาดมาก เป็นการสกัดอย่างเข้มข้น มาถึงช่วงนี้ ทำให้เกิดคำถามว่ามาตรการเดิมจะรับกับสภาวะได้หรือ
ช่วงนั้นการติดเชื้อมีแค่หลักพันคน เราเป็นประเทศที่ 2 รองจากจีน แต่หลังจากรอบที่ 2 และรอบที่ 3 ปัจจุบัน เป็นคนละเรื่อง ไม่มีใครเชื่อว่าจะเอาอยู่อีกแล้ว
ท่านผู้นำประเทศได้ตระหนักหรือไม่ว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรานั้น เป็นวิกฤตยิ่งกว่าสภาวะฉุกเฉินที่ประกาศไว้ร่วมปีเสียอีก?
ถ้าตระหนักจริง ทำไมมาตรการต่างๆ ที่ทำแบบครึ่งๆ กลางๆ มาโดยตลอดนั้นยังไม่ทำให้ผู้กุมอำนาจรัฐรู้ว่ามันไม่ได้ผล แม้จะยกระดับความเข้มงวดอย่างไรก็ตาม
ครั้งนี้ก็เช่นกัน รัฐบาลยังเกรงผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นให้มีการทำมาค้าขายบางประเภทเหมือนเดิม คนยังเดินทางไปมาช่วงกลางวัน ไม่ถึงขั้นห้ามออกนอกบ้านอย่างเด็ดขาดเหมือนที่ประกาศในประเทศอื่นๆ
เพียงแค่นี้ก็ได้สร้างความทุกข์ยากลำบากให้ประชาชนกันเกือบถ้วนหน้า เว้นแต่กลุ่มผู้มีรายได้สูง และความมั่งคั่งเพียงพอที่จะรับกับสภาพได้ ประเทศไทยยังไม่มีปัญหาการขาดแคลนอาหาร แต่ประชาชนส่วนหนึ่งอดอยากเพราะไม่มีรายได้
คนว่างงานแม้จะเป็นช่วงสั้น เมื่อไม่มีเงินเก็บจากผลกระทบเป็นช่วงๆ ซ้ำมีหนี้สินที่ต้องจ่าย จึงเป็นวิกฤตส่วนบุคคลและของครอบครัว โดยที่ใครก็ช่วยไม่ได้ การเยียวยาโดยรัฐบาลก็ทำได้เพียงเฉพาะกลุ่ม และเป็นระยะสั้นแค่นั้น
มาตรการที่ประกาศมา คงทำได้เพียงแค่นี้ เว้นแต่ว่าจะห้ามออกนอกบ้าน ปิดล็อกทั้งกลางวันกลางคืน ให้ออกไปหาซื้ออาหารได้เท่านั้น
เมื่อยังไม่เข้มข้นเหมือนที่จีนทำในอู่ฮั่น หรือในยุโรป เราต้องพร้อมทำใจยอมรับว่าผลที่จะตามมาคงจะหวังได้ไม่มาก ตัวเลขคงไม่ลดฮวบฮาบในช่วงล็อกดาวน์จนถึงต้นเดือนหน้า เพราะยังเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป
นั่นเป็นเพราะแรงเหวี่ยงของพลังการระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วประเทศนั้นรุนแรงยิ่งกว่ามาตรการที่ประกาศใช้มาแล้วทั้งหมด และไม่สามารถที่จะควบคุมได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยที่ขาดแคลนวัคซีนซึ่งจำเป็นอย่างมาก แต่รัฐจัดหาได้ไม่เพียงพอ
และยังวนเวียนอยู่กับวัคซีน 2 ชนิด คือแอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค ซึ่งตัวหลังนี้ตกรุ่นไปนานแล้วหลังจากมีเชื้อกลายพันธุ์เพิ่มจากสายพันธุ์อู่ฮั่น และทุกวันนี้ยังคงตะบี้ตะบันทุ่มเงิน 6 พันกว่าล้านซื้อมา ทำเป็นเหมือนวัคซีนเทวดา
ถ้าไม่มีผลตอบแทน หรือผลประโยชน์อื่นใด เป็นโชคลาภก้อนมหาศาล ของใครที่อยู่ในวงจรอำนาจแล้ว ก็ต้องมีคำอธิบายให้ชัดว่าทำไมไม่เร่งหาวัคซีนทางเลือก ปล่อยให้เอกชนนำเข้าได้อย่างไร โดยที่ต้องสั่งผ่านองค์กรของรัฐ
มาตรการที่ประกาศล่าสุด ถึงอย่างไรก็เอาไม่อยู่ เพราะสถานการณ์มันลุกลามเกินเลยไปไกลแล้ว ขณะที่แพทย์และพยาบาลติดเชื้อจำนวนมากมาย ที่ยังพอทำหน้าที่ได้อยู่นั้น ก็อยู่ในสภาวะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ทั้งยังเสี่ยงมากขึ้นทุกวัน
เป็นวิกฤตยิ่งกว่าอื่นใด นอกเหนือจากวิกฤตศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ประชาชนบนแผ่นดินนี้ได้แสดงออกให้เห็นชัดแล้วว่า คณะผู้บริหารกุมอำนาจรัฐปัจจุบันไม่มีราคาหรือคุณค่าเพียงพอที่จะให้ประชาชนไว้ใจให้ดูแลประเทศต่อไป
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไร้ประสิทธิภาพ ความรู้ความสามารถ ได้แปรสภาพเป็นเสียงแช่งด่าในมวลชนทุกระดับ แม้แต่กลุ่มที่เคยเป็นกองเชียร์
จากการที่เคยเข้าใจ ให้กำลังใจ พร้อมอยู่ในโลกสวย มาบัดนี้คนทั้งแผ่นดินรู้ดีว่าวิกฤตยิ่งกว่าโควิด-19 คือการอยู่ต่อไปในอำนาจโดยไม่รู้จักจบสิ้นของคณะ 3 ลุง
การคงอยู่ของคณะ 3 ลุงได้เป็นมหันตภัยอย่างยิ่ง เพราะชาวบ้านมองไม่เห็นว่าอนาคตของประเทศจะดีขึ้นได้อย่างไร ท่ามกลางวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คนยากจน สิ้นหนทางสร้างรายได้กันถ้วนหน้า ถูกซ้ำเติมโดยมาตรการที่ว่าจำเป็น
ดูแล้วก็ประหลาด คนทั้งประเทศหวาดผวากับการระบาด แต่คณะ 3 ลุงยังทำตัวเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่เข้าใจภาวะแห่งวิกฤตร้ายแรง ยังลำพองในอำนาจอย่างเดิม อยู่ไปแต่ละวันแบบไร้โลกทัศน์ ขาดจินตนาการ ไร้แผนบริหารชัดเจน
ทั้ง 3 ลุงก็ยังทำงานตามปกติ หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ทำตามเวลาราชการ ไม่มีความเร่งด่วน ไม่สมกับสภาวะฉุกเฉิน การแถลงข่าวถ้าไม่ต่อปากต่อคำ แสดงอารมณ์เสีย ก็ใช้วิธีนิ่งเงียบ แม้จะให้ข่าวสารหรือความเห็นก็ไม่มีคุณค่าอะไรต่อประชาชน
ประเทศอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง มีผู้นำเหมือนไม่มี นอกจากนั้นยังทำตัวเป็นภาระของแผ่นดิน การผูกขาดความคิด ผูกขาดอำนาจ มุ่งแต่ผลทางการเมือง ทำให้องค์กรต่างๆ ทำงานไม่เต็มที่ ต้องรอดูทิศทางอารมณ์ของผู้กุมอำนาจรัฐ
ยิ่งบางช่วงทำตัวเป็นจำอวดการเมืองด้วยแล้ว ประเทศยิ่งดูน่าอนาถ ถึงเวลาที่คณะ 3 ลุงต้องบอกประชาชนแล้วว่า ถ้ายังไม่ออกไป จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร