หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
สถานการณ์โควิดที่หนักหนาสาหัสกำลังเป็นอีกแรงหนึ่งที่ถาโถมใส่รัฐบาลประยุทธ์ นอกจากเสียงเรียกร้องของฝ่ายค้านและม็อบที่อยู่บนถนน เพราะมองว่ารัฐบาลไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์โควิดได้เลยและมีแนวโน้มว่าจะมีคนติดเชื้อมากขึ้นและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นแบบไม่รู้จะหาทางลงอย่างไรได้เลย
ไม่เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น คนที่เคยสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ก็เริ่มตั้งคำถามถึงศักยภาพในการเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ไม่เอารัฐบาลนี้อยู่แล้วก็เริ่มสะกิดสำนึกคนที่เป่านกหวีดเรียกรัฐประหารออกมาจนเป็นรัฐบาลประยุทธ์มาจนถึงวันนี้ และเห็นบางคนออกมาสำนึกผิดกับการกระทำของตัวเอง ซึ่งผมคิดว่าไม่เห็นจะต้องสำนึกผิดอะไรเลย เพราะวันนั้นถ้าเราปล่อยให้รัฐบาลฉ้อฉลดำเนินอยู่โดยไม่ออกมาคัดค้านเท่ากับเราก็ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีนั่นเอง
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วสถานการณ์โควิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลกและหลายประเทศก็ประสบปัญหาที่หนักหน่วงไม่แพ้กัน แม้แต่ในประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ล้วนแล้วมีสถานการณ์ที่หนักกว่าไทยด้วยซ้ำ และจะว่าไปแล้วผู้นำทั่วโลกในยุคนี้ต่างไม่เคยประสบกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ต่างเป็นมือใหม่ในการรับมือกับโควิดทั้งสิ้น
และพบว่าทั้งในมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ประชาชนก็เริ่มตั้งคำถามถึงศักยภาพของผู้นำเช่นเดียวกับที่คนไทยตั้งคำถามถึงศักยภาพของพล.อ.ประยุทธ์
แน่นอนสำหรับบ้านเราเสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนม้ากลางศึกมีประเด็นการเมืองเจือปนอยู่ แต่ประเด็นความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบกับสถานการณ์ทั้งด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การเผชิญกับโรคภัย การหาทางรอดเพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่หนักหน่วง หลายคนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ก็เป็นแรงกดดันให้ประชาชนสิ้นความอดทนกับรัฐบาลได้เหมือนกัน
ในขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้สะท้อนศักยภาพของผู้นำที่เข้มแข็งที่จะนำพาประเทศชาติในสถานการณ์เช่นนี้ออกมาเลย และทำงานอยู่ภายใต้วงล้อมของระบบราชการที่เป็นตัวขับเคลื่อน มีระบบการทำงานที่เป็นขั้นเป็นตอนไม่ลื่นไหล มีวาระการประชุมที่ตายตัว มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ไม่สอดรับกับสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ตลอดเวลา
แต่ถามว่ามีพลังมากพอที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งตามเสียงเรียกร้องไหม ต้องตอบว่า ยากเย็นกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะรัฐบาลประยุทธ์ต่างกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอื่นๆ เพราะรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้เพียงมาจากการสนับสนุนของประชาชนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนตอบสนองการอยู่ในอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว
ดังนั้นถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังอยู่เลือกตั้งใหม่ครั้งหน้าก็ได้ พล.อ.ประยุทธ์อีก เว้นเสียแต่ พล.อ.ประยุทธ์เบื่อพอแล้วก็เป็นคนที่ พล.อ.ประยุทธ์และอำนาจของ 3ป.อยากให้เป็นเท่านั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้เลย การออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
หากย้อนไปดูการออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลในการนิรโทษกรรมสุดซอยลักหลับด้วยเสียงข้างมากในสภานั้นมีความชอบธรรมอย่างสูงมากที่ประชาชนจะออกมาขับไล่ให้พ้นจากอำนาจ แต่ต้องยอมรับนะว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากประชาชนที่ออกมาชุมนุม แต่มาจากการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ และว่าไปแล้วก็ยังไม่มีในประวัติศาสตร์ที่พลังประชาชนจะขับไล่รัฐบาลได้ ใกล้เคียงที่สุดก็เป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งก็มีคำถามว่าชัยชนะครั้งนั้นเพราะพลังของประชาชนหรืออำนาจที่แฝงเร้นกันแน่
เช่นเดียวกันการออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสุดท้ายก็จบลงด้วยการรัฐประหาร ดังนั้นแม้เราบอกว่าประชาธิปไตยอำนาจเป็นของประชาชน แต่สุดท้ายแล้วไม่ใช่ว่าประชาชนจะเป็นผู้ชี้ขาดอำนาจได้ พูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อมั่นในพลังของประชาชน แต่ประวัติศาสตร์มันบอกไว้ว่าพลังประชาชนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองได้อย่างแท้จริง
เช่นเดียวกันเรารับรู้กันว่ารัฐบาลของประยุทธ์นอกจากจะยังมีประชาชนที่เกลียดกลัวระบอบทักษิณและพรรคของทักษิณเป็นเกราะที่ห่อหุ้มรัฐบาลประยุทธ์แล้ว รัฐบาลประยุทธ์ยังมีกองทัพหนุนหลังต่างจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้นการขับไล่รัฐบาลประยุทธ์จึงต้องเจอแรงต้านทานจากกองทัพด้วย ไม่มีทางเลยที่ทหารจะลุกขึ้นมาโค่นล้มรัฐบาลประยุทธ์เหมือนกับรัฐบาลอื่น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความไม่สามัคคีของประชาชนที่ยิ่งยากที่จะทำให้อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์สั่นคลอนได้ เพราะมันเข้าเงื่อนไขการแบ่งแยกแล้วปกครองนั่นเอง
ในทางการเมืองแม้จะมีเสียงเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว แต่พรรคร่วมรัฐบาลเหล่านั้นก็รู้ดีว่า ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกมากกว่ายอมเป็นมือไม้ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถือรัฐธรรมนูญไว้ในมือและมีกองทัพหนุนหลังต่อไป และที่สำคัญไม่มีพรรคการเมืองไหนอยากเป็นฝ่ายค้าน แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่มีฐานมวลชนเดียวกับพรรคพลังประชารัฐก็ต้องยอมทนกินน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ เพราะพรรคตกต่ำไม่มีพลังอะไรที่จะต่อกรกับใครได้เหมือนในอดีต
เราไม่สามารถคาดหวังการเปลี่ยนแปลงจากนักการเมืองได้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่านักการเมืองคนไหนพวกเขาเข้ามาเล่นการเมือง เพราะต้องการหาประโยชน์จากอำนาจ อาจจะมีบ้างน้อยมากที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ดังนั้นไม่ใช่เพราะสถานการณ์โควิดที่ทำให้กลุ่มมวลชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาลยากจะเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่เหตุปัจจัยต่างๆ และเงื่อนไขล้วนแล้วแต่ยากจะทำให้การขับไล่รัฐบาลประสบความสำเร็จได้ นอกจากรอวันที่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรีหมดไป ซึ่งต้องรอไปอีกอย่างน้อยอีกหนึ่งการเลือกตั้งผ่านไปแล้วไปสู้กันในการเลือกตั้งถัดไปที่รัฐธรรมนูญจะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
นั่นหมายความว่าอาจจะต้องอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ยาวนานถึง 13 ปี
อาจจะมีคนบอกว่าขณะนี้เพิ่งผ่านไปเพียง 7 ปีก็ก็เริ่มบ่นเบื่อและตั้งคำถามกับ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว จะเป็นไปได้เหรอที่ พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ในตำแหน่งไปยาวนานขนาดนั้น อย่าว่าแต่ 13 ปีเลยแค่หมดสมัยนี้ก็ยังยาก ก็ต้องถามว่าแล้วจะเอาอะไรมาไล่พล.อ.ประยุทธ์ให้พ้นจากตำแหน่งได้
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของพล.อ.ประยุทธ์ และเมื่อมันผ่านประชามติมาแล้ว เขาก็ยิ่งเอาสิ่งนี้มาอ้างเป็นความชอบธรรมแม้มันจะเป็นประชามติที่พิกลพิการและความชอบธรรมที่กลับกลอกก็ตาม
ถึงตรงนี้จึงยังไม่เห็นเลยว่าอะไรที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งได้ เขายังมีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่รักเขาเพราะกลัวระบอบทักษิณ มีกองทัพหนุนหลัง มีอำนาจแฝงเร้นที่ยังสนับสนุนให้เขาอยู่ในตำแหน่ง
พวกที่ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่อาจรอถึงวันนั้นได้ เพราะเมื่อถึงวันนั้นประเทศไทยก็อาจจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานต่อไป แต่คนที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์บอกว่ามีแต่ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นที่สามารถต่อต้านกับระบบทักษิณที่จะกลับมากัดกินประเทศได้เพราะไม่อาจรับกับพฤติกรรมฉ้อฉลของระบอบทักษิณในวันที่มีอำนาจได้
ที่สำคัญคนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์มากเท่าไหร่ รัฐบาลประยุทธ์ยิ่งจำเป็นต้องดำรงอยู่ และสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้มีความอ่อนไหวที่ต้องการรัฐบาลที่มีความเข็มแข็งและมีกองทัพหนุนหลัง
ดังนั้นไม่ว่าใครจะเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์แค่ไหนก็ตามก็ยังต้องอยู่กับพ ล.อ.ประยุทธ์ต่อไป ม็อบจะออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์สักกี่กลุ่มก็คงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการถูกตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาต่างๆ ดังที่ม็อบทุกกลุ่มเคยเจอมาแล้วในอดีต ส่วนการรับมือกับวิกฤตโควิดเราก็ต้องช่วยกันภาวนาว่าให้รัฐบาลสามารถหาทางออกที่จะคลี่คลายสถานการณ์ได้โดยเร็ว
การทำให้ พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งนั้นอาจมีทางเดียวคือความอดทนของประชาชนรอวันที่รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยหลังหมดอายุบทเฉพาะกาล หรือไม่ก็ภาวนาให้ พล.อ.ประยุทธ์ถอดใจลาออกไปเอง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan