ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยอาการคิดไม่ออก-บอกไม่ถูก ว่าจะไปหาเรื่อง “เบาๆ” จากที่ไหนมาพูดจา ว่ากล่าว เพื่อให้เกิดความ “เบิร์ดๆ-สบายๆ” กันได้มั่ง เพราะโดยสีสันบรรยากาศ ไม่ว่า “บ้านเรา” หรือ “บ้านเขา” ไม่ว่าไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา หรือระดับโลกทั้งโลกนั่นแหละทั่น!!! ล้วนแต่ออกไปทาง “หนักหนา-สาหัส” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์ “เดลตา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
เฉพาะแค่บ้านเรา...ที่ตัวเลขจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน ขยับไป-ขยับมา ขึ้นๆ-ลงๆ หวิดใกล้ๆ ถึงหลักหมื่นแบบชนิดเฉียดไป-เฉียดมา ก็ต้องเรียกว่า...เป็นอะไรที่เหนื่อยแสนเหนื่อยเสียเหลือเกิน!!! แต่ก็นั่นแหละ...จะเอาแต่โยนขี้ โยนบาป ไปให้ “บิ๊กตู่” ล้วนๆ ก็ไม่น่าจะถูกต้อง เป็นธรรมกันมากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะแม้แต่ข้างๆ บ้านเราเอง “เสือเหลือง-มาเลย์” ที่มีชายแดน พรมแดน ประชิดติดพันกับไทยมาโดยตลอด แม้จำนวนพลเมืองน้อยกว่าพี่ไทยระดับแทบครึ่งต่อครึ่ง แถมยังตะลุยจิ้ม ตะลุยทิ่ม ฉีด “วัคซีน” ให้กับผู้คนภายในประเทศไปแล้วถึง 25 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนประชากร 32 ล้านคน มีทั้งไฟเซอร์ โมเดอร์นา ที่ถูกยกระดับให้กลายเป็น “วัคซีนเทพ” ไปแล้วอะไรประมาณนั้น แต่สุดท้าย...เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ยังอุตส่าห์ทำ “นิว-ไฮ” หรือทำให้ตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน พุ่งขึ้นไปถึง 11,079 คน แจ็กพอตแตกก่อนบ้านเราไปแล้วล่วงหน้า...
ด้วยเหตุเพราะการมาถึงของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นั่นแหละทั่น!!! ที่ไม่ว่าจะเป็น “วัคซีนเทพ” อย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา วัคซีนธรรมดาๆ อย่างแอสตร้าเซนเนก้า หรือ “วัคซีนเซินเจิ้น” อย่างซิโนแวค ซิโนฟาร์ม หรือสปุตนิก วี ต่างก็ “เอาไม่ค่อยจะอยู่” ไปด้วยกันทั้งนั้น คือประสิทธิภาพในการคุ้มครอง ป้องกัน อาจต้องลดๆ ลงมา 3 เท่า 4 เท่า หรือ 5 เท่า 6 เท่าไปตามลำดับ แถมถ้าคิดจะ “ฉีดผสม” หรือคิดจะ “Booster” ให้จะจะจังๆ ก็ยังหาข้อสรุป หาข้อยุติแทบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ คือถ้าหาก “เชื่อหมอ-ยง” ของบ้านเรา หลังจากฉีดซิโนแวค ซิโนฟาร์ม เข็มแรกไปแล้ว ถ้าตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าเข็มสอง หรือโมเดอร์นาเข็มสอง ภูมิคุ้มกัน คุ้มครอง ป้องกัน อาจเด้งดึ๋ง ไม่ถึงกับลดลงไป 3 เท่า 4 เท่า 5 เท่า 6 เท่า กันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าดันไป “เชื่อหมอฝรั่ง” อย่างหมอ “โสมยา สวามีนาธาน” (Soumya Swaminathan) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์แห่งองค์การอนามัยโลก หรือ “WHO” ก็อาจต้องรั้งๆ เอาไว้มั่ง อันเนื่องมาจากยังไม่มีผลการศึกษาและวิจัยอย่างเป็นทางการ ว่าการกินเหล้าผสมเบียร์ กินไวน์ผสมอุ หรือการ “ฉีดผสม” วัคซีนใน 2 แบบ 2 ประเภท มันจะส่งผลให้ดีขึ้น หรือเลวลง หรือไม่ ประการใด???
อันนี้...ก็ยิ่งก่อให้เกิดความ “บวดหัว” ชนิด “ยาบวดหาย” ก็แทบเอาไม่อยู่ คือไม่รู้ว่าจะ “เชื่อ” ใครดี??? แม้พยายามจะหันไปปรับความคิด ปรับทัศนะใหม่ๆ เพื่อหาทาง “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้จงได้ ก็ยังหนีไม่พ้นก่อให้เกิด “คำถาม” อยู่ดีนั่นเอง!!! อย่างเช่นความพยายามปรับทัศนะ ปรับความคิด ของนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิงแห่งอังกฤษ อย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” ที่ไม่คิดจะสนใจ ไม่คิดจะให้ความสำคัญต่อบรรดา “มาตรการควบคุม” ต่างๆ อีกต่อไปแล้ว เตรียมจะยกเลิกแต่ละมาตรการแบบโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าการสวมหน้ากาก-ไม่สวมหน้ากาก การเว้นระยะห่าง-ไม่เว้นระยะห่าง การทำงานที่บ้าน เวิร์ค ฟอร์ม โฮม-หรือไม่เวิร์ค ฟอร์ม โฮม ไปจนถึงการเปิดบาร์ เปิดผับ เปิดภัตตาคาร ให้กินๆ-ดื่มๆ ฯลฯ แบบโดยอิสระและเสรี ชนิดถือเป็นการเริ่มต้น “Freedom Day” หรือเริ่มต้น “วันแห่งเสรีภาพ” ภายในอีกวัน-สองวัน หรือตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 ก.ค.เป็นต้นไป...
ทั้งนั้น ทั้งนี้...เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้ตะลุยฉีดวัคซีน ให้กับผู้คนพลเมืองภายในประเทศไปแล้วถึง 87 เปอร์เซ็นต์ในเข็มแรก และ 66 เปอร์เซ็นต์ในเข็มสอง จนน่าจะเกิดภูมิคุ้มกัน ปกป้อง บรรดาผู้ดีอังกฤษได้พอประมาณ ไม่ถึงกับต้องตายโหง ตายห่ารวดเร็วเกินไปนัก แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อดันต้องเจอกับท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “เดลตา” ระลอกใหม่ เข้าไปแบบจะจะจังๆ ว่ากันว่า...จำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ชาวผู้ดีอังกฤษ ที่เคยลดๆ ลงไปบ้างแล้วในช่วงก่อนหน้านั้นไม่นาน กลับเด้งดึ๋งพรวดๆพราดๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นวันละระดับ 2 หมื่น 3 หมื่นคน เอาเลยถึงขั้นนั้น แถมยังส่งผลให้บรรดาหมอๆ ชาวอังกฤษ ไม่ว่าระดับประธานร่วม ขององค์กร “The British Medical Association” (BMA) อย่าง “ดร.Chaand Nagpaul” ต้องออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “BBC” ไปเมื่อวันอังคาร (13 ก.ค.) ที่ผ่านมา ว่าความพยายามเดินหน้า ตัดสินใจยกเลิกมาตรการควบคุมต่างๆ ของรัฐบาลอังกฤษ ถือเป็น “ความไม่รับผิดชอบ” ต่อชีวิตชาวอังกฤษอย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
แม้แต่บรรดาหมอๆ ที่เป็นผู้ให้คำปรึกษารัฐบาลโดยตรง ในช่วงระหว่างการแพร่ระบาด อย่างองค์กร “The Scientific Advisory Group for Emergencies” ก็ดูจะ “ไม่เห็นควรด้วย” กับนายกฯ หัวกระเซิงกันสักเท่าไหร่ ถึงได้ออกมา “เตือน” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าแม้ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในแต่ละตัว อาจช่วยคุ้มครอง ป้องกัน ไม่ให้ชาวอังกฤษต้องตายโหง ตายห่า หรือเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง รวดเร็วเกินไปนัก แต่จำนวน “คนป่วย” ที่ต้องเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล มันชักจะเพิ่มขึ้นๆ ระดับวันละ 1,000-2,000 คนเป็นอย่างน้อย ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขอังกฤษ ชักจะรับไม่ได้ รับไม่ไหว หรือชักจะ “เหนื่อยฉิบหาย” จนอาจหนีไม่พ้นต้องหันไปใช้ “มาตรการคุมเข้ม” ในแบบเดิมๆ อีกจนได้ หรือกระทั่งบรรดาหมอๆ โดยทั่วไป จำนวนถึง 200 คน ถึงกับต้อง “เข้าชื่อ” ใน “จดหมายเปิดผนึก” เผยแพร่ในวารสาร “The Lancet medical Journal” เมื่อช่วงวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา เรียกร้องให้รัฐบาลหวนกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มกันใหม่ ด้วยเหตุเพราะแม้แต่ “วัคซีนเทพ” อย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา ไปจนถึงแอสตร้าเซนเนก้านั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว...สามารถคุ้มครอง ป้องกัน ต่อผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้แค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฉีดเข็มแรก...
ไม่ต่างไปจากประเทศคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ...ที่พยายามไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ไล่ฉีดวัคซีนบรรดาอเมริกันชนไปแล้วประมาณ 58.8 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 152 ล้านคน ส่งผลให้บรรดาชาวอเมริกันทั้งหลายเริ่มหันมา “ใช้ชีวิตตามปกติ” ไปด้วยกันแทบทั้งสิ้น ทั้งปวง แต่เมื่อเจอกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของสายพันธุ์เดลตา เห็นว่าจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” เด้งดึ๋ง เพิ่มเป็นวันละ 23,000 คน เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าของสัปดาห์ก่อน และอาจเพิ่มขึ้นเป็นวันละแสนๆ เหมือนอย่างช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเอาเลยก็ไม่แน่!!! ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ...การหันมาใช้ชีวิตแบบปกติ-ธรรมดา ของบรรดาอเมริกันชนในช่วงนี้ ก็ไม่ถึงกับทำให้ “ภาวะเศรษฐกิจ” อเมริกา เกิดการฟื้นตัว เงยหน้า อ้าปาก ได้อย่างที่คาด ที่หวัง มากมายสักเท่าไหร่นัก ตรงกันข้าม...กลับส่งผลให้ “ภาวะเงินเฟ้อ” พุ่งพรวดๆ พราดๆ ด้วยสาเหตุแบบไหน อย่างไร คงต้องไปหาคำตอบกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคในอเมริกาทุกวันนี้ สูงขึ้นไปประมาณ 5.8 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงสุดในรอบเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ที่ผ่านมา อันอาจส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ และความพยายามฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
คราวนี้เอาไงดี!!!...ในเมื่อทั้ง “เศรษฐกิจอเมริกา” และ “เศรษฐกิจจีน” อันถือเป็นหัวรถจักร 2 ขบวนของ “เศรษฐกิจโลก” มันชักจะอืดๆ ถืดๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ขณะเศรษฐกิจจีนกำลังเจอกับภาวะ “ชะลอตัว” จนต้องตัดสำรองทุนสำรองธนาคาร เพื่อเอามากระตุ้นเศรษฐกิจกันเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจอเมริกาดันต้องเจอกับ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่อาจส่งผลให้ “เดี้ยง” กันไปทั่วทั้งโลก ส่วนเศรษฐกิจไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ดันต้องเจอกับปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งทะลุเพดานไปถึง 90.5 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปแล้วทุกวันนี้ แถมยัง “ติดเชื้อ” อีกใกล้ๆ หมื่น เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรจะ “บ้าตาย” เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว!!!