สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง สาขาวิชาปัญญาและการวิเคราะห์ธุรกิจ
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ศาสตราจารย์
และ
ดร. นายแพทย์ อภิวัฒน์ มุทิรางกูร
นักวิจัยดีเด่นของชาติ นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นของไทย เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
ศูนย์ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อณูพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีการค้นพบใหม่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิ โดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ ดังนี้
#################
นพ.ยงเผย ผลการศึกษา ฉีดวัคซีน Sinovac 2 เข็ม และกระตุ้นด้วย AstraZeneca อีก 1 เข็ม จะได้ภูมิต้านทานทานจะสูงขึ้นมากกว่า 30 เท่า มีเปอร์เซ็นต์การขัดขวางไวรัสสูงถึง 95%
ซึ่งมีทิศทางคล้ายผลการศึกษาของที่อื่น โดยขณะนี้ยังมีศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
#โควิดวันนี้ #วัคซีนโควิด https://twitter.com/nnthotnews/status/1413415194588454913
ในขณะที่ข้อค้นพบของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ร่วมกับ ดร. อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยไวรัสวิทยา BIOTEC
นพ.เขตต์ ศรีประทักษ์ สถาบันโรคทรวงอก เป็นไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกัน
#################
เปิดผลการศึกษาขั้นต้น วัคซีนที่มีในไทย สูตรไหนใช้ต่อกร Covid สายพันธุ์เดลตาได้
ในขณะที่วัคซีนชนิดอื่นๆเช่น mRNA , Protein subunit ยังไม่มี การบริหารวัคซีนที่มี2 ชนิด คือ Sinovac or Sinopharm หรือ Astra Zeneca จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรีบหาคำตอบว่าสูตรไหนจะป้องกันสายเดลตาได้
จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า Sinovac 2 เข็มแม้ระดับNeutralize antibody ขึ้น 80-90% แม้ว่าจะวัดระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธ์ุแอลฟาได้บ้างแต่ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้เลย
แต่ในคนที่ได้ AZ ครบ2 เข็มและมีระดับNeutralize antibody ที่สูงเกิน 90% สามารถป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ดีระดับหนึ่งและ
ผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อ B.1.1.7 เมื่อ wave3 ที่ผ่านมา เมื่อได้รับการกระตุ้นด้วย AZ เข็มเดียวให้ระดับการป้องกันสายพันธุ์ เดลตาได้เทียบเท่า AZ 2 เข็ม
ส่วนผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อ B.1.1.7 อีกคน แม้ว่าจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธ์ุแอลฟาที่สูงแต่กับ เดลตา กับมีน้อยมาก
วัคซีนสูตรผสม SV + AZ ให้ระดับการป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ดีกว่า SVx2 แต่ไม่เท่า AZx2
สุดท้าย ที่ดูแนวโน้มดีสุด คือ ผู้ที่ได้ SVx2 + AZx1 ที่เป็นอาสาสมัครในการทดสอบ มีระดับภูมิคุ้มกัน Neutralize antibody สูง99% รวมถึง ค่า IC50 ต่อสายพันธุ์ เดลตา ในระดับสูงสุด
จากข้อมูลการศึกษาเบื้องต้น แม้ว่าเราจะยังไม่มีวัคซีน mRNA แต่สำหรับบุคลากรด่านหน้าผู้เสียสละ ซึ่งได้รับSV เป็นส่วนมากในช่วงแรก แต่ระดับการป้องกันตอนนี้คงไม่เพียงพอต่อไวรัสกลายพันธุ์เดลตา การใช้ AZ เป็นเข็มกระตุ้น ก็น่าจะเพียงพอให้เขาปลอดภัยในขณะที่ยังไม่มีวัคซีนชนิดmRNA
https://www.facebook.com/thiravat.h/posts/4662726457094205
#################
สรุปว่าสองปรมาจารย์ด้านไวรัสวิทยา ที่มักมีความเห็นแย้งกันเสมอ กลับมีความเห็นตรงกัน จากข้อมูลและการศึกษาเชิงค้นพบต่างคนต่างทำเป็นอิสระแก่กันว่า SNVSNVAZ สามเข็มจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ภูมิคุ้มกันจะขึ้นสูงมาก และน่าจะต่อต้านโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าจากอินเดียได้
ผลการประชุมศบค. แถลงว่าจะให้ใช้ Pfizer วัคซีน mRNA เวอร์ชั่นปัจจุบัน ฉีดเข็มสามกระตุ้นให้บุคลากรการแพทย์หน้างานที่ต้องเผชิญโควิด-19 อย่างหนัก เป็น เข็มสาม Booster
อย่างไรก็ตาม Pfizer เองได้ออกมาแถลงว่าจะขออนุมัติฉีดวัคซีนเข็ม 3 สู้โควิดตัวกลายพันธุ์
ผมเชื่อว่าจะมีแพทย์จำนวนมากเลือกขอฉีด AstraZeneca เป็นเข็มสาม Booster แทนครับ เพราะ Sinovac สองเข็มแรก แล้วฉีด AZ ตามเป็นเข็มสาม ปรมาจารย์สองท่านคือ ศ. นพ. ยง กับ ศ.นพ. ธีระวัฒน์ ยืนยันด้วยข้อมูลตรงกันว่าได้ผลดีครับ
สำหรับการกระตุ้นวัคซีนโควิดเข็มสาม ยังไม่มีการศึกษาบนโลกนี้ และการกระตุ้นวัคซีนโควิดสลับชนิดกันในเข็มที่สามยิ่งไม่มีการศึกษามาก่อน
ฉับพลันทันทีเมื่อ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต และศ. นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑานำเสนอผลการวิจัยว่า SNV-->SNV-->AZ กระตุ้นภูมิได้ดีกว่าการติดเชื้อในธรรมชาติกว่า 30-40 เท่า พร้อมๆ กัน โดยมิได้นัดหมาย และทั้งสองท่านเป็นปรมาจารย์ทางไวรัสวิทยาทั้งคู่ เกิดกระแสด้อยค่า AZ และ SNV ทันทีว่าที่มีตัวเลขมานั้น SNV-->SNV-->AZ มีขนาดตัวอย่างเท่ากับสอง
อันที่จริงมีข้อมูลแค่นี้ก็วิเคราะห์ได้เท่าที่มีข้อมูล เพราะเป็นเรื่องใหม่บนโลกนี้ แต่คำอธิบายนั้นสำคัญกว่ามาก ทฤษฎีที่ใช้ในการอธิบายนั้นสำคัญมากที่สุด
และอยากอธิบายให้คนที่เรียนสถิติศาสตร์แบบสุดจะผิวเผินที่เข้าใจผิดไปว่าขนาดตัวอย่างยิ่งใหญ่ยิ่งดีนั้น ไม่เป็นความจริงเสมอไป
ในโลกปัจจุบันนี้คนเห่อ Big data จนลืมข้อเท็จจริงที่ว่านวัตกรรมหรือทฤษฎีอันยิ่งใหญ่ในโลกนี้เกิดจาก small sample size data ทั้งนั้น
ผู้เขียนคนแรกเคยเขียนบทความ Big Data กับ Small Sample Size Data คืออะไร อะไรยากหรือง่ายกว่ากัน? ขอให้ไปอ่านไปศึกษากันครับ https://mgronline.com/daily/detail/9590000020961
ทฤษฎีหรือข้อค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก เกิดจาก small sample เป็นส่วนมาก
Penicillin ของ Alexander Fleming เกิดจากการไม่โยนจานเพาะเชื้อทิ้ง หลังจากเพาะเชื้อมาเป็นร้อยๆ แต่ไม่สำเร็จ จานที่เพาะเชื้อแบคทีเรียไม่ขึ้นมีราขึ้นนำไปสู่ข้อค้นพบที่ว่าเชื้อราสกัดมาทำยาปฏิชีวนะได้
Ebbinghaus นักจิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive psychology) ก็เกิดคิดทฤษฎีเรื่องความจำได้ จากการทดลองเพียงหนึ่งราย และเป็นการทดลองกับตัวเขาเอง
แพทย์ที่ผมรู้จักคนหนึ่ง เป็น ศาสตรารย์ ได้ เพราะข้อมูล 4 บรรทัด เพราะสันนิษฐานและมีทฤษฎีในใจว่าโรคพันธุกรรมแปลกใหม่บนโลกนี้เกิดจาก DNA บางคู่ เลยทำ DNA sequencing ของคนไข้โรคใหม่นี้ในไทยสองรายแรก เทียบกับของตนเองและภรรยา พบว่าต่างกัน นำไปสู่การค้นพบใหม่ในการรักษาโรคพันธุกรรมใหม่นี้ได้
กระทั่งการผ่ารักษาโรคงวงช้างได้เป็นรายแรกในโลกก็เกิดจากการผ่าตัดไม่กี่รายและเขียน case report ออกมา นำความรู้ใหม่ และสร้างความรู้ใหม่ให้โลกนี้ได้
Newton เจอแอปเปิ้ลตกใส่หัว ก็คิดทฤษฎีแรงโน้มถ่วงเกิดกลศาสตร์นิวตั้นได้
กาลิเลโอ มองเชิงเทียนระย้าในหอเอนเมืองปิซ่าแกว่งไปมา แล้วจับเทียบกับชีพจรของตนทำให้ค้นพบกฎของเพนดูลัม ว่าระยะเวลาแกว่งคงที่แต่แปรผกผันกับความยาวโซ่ และทำให้พัฒนานาฬิกาลูกตุ้มต่อมาได้
ของยิ่งใหญ่ในโลกนี้เกิดจาก single case หรือ n น้อยๆ ครับ ไม่ได้เกิดจาก n ใหญ่ .
สิ่งที่เป็นหัวใจมากกว่าคือการสร้างทฤษฎีที่อธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น
เราสนใจศึกษาหาทฤษฎีและคำอธิบาย ไม่ได้สนใจเฉพาะที่จะอนุมานไปยังค่าพารามิเตอร์ที่บรรยายลักษณะประชากรอย่างเดียว อย่างที่นักสถิติศาสตร์พยายามทำ และคนที่รู้สถิติอย่างผิวเผินเข้าใจผิด
การสร้างทฤษฎีนั้นอาจจะใช้ข้อมูลนิดหน่อย แต่การคิดต่อยอดจินตนาการนั้นสำคัญมาก ไอน์สไตน์เองก็กล่าวไว้ว่า ไม่มีการทดลองใดนำมาซึ่งทฤษฎีได้ แต่การทดลองทำให้พิสูจน์ได้ว่าทฤษฎีนั้นถูกหรือผิด
การทดลองเล็กๆ มี single case experiment มีแนวทางในการออกแบบการทดลองอย่างรัดกุมในจิตวิทยาการทดลอง ใครที่เรียนจิตวิทยาการทดลองมาย่อมได้เรียน single case experiment โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้มากใน psychotherapy หรือ behavior modification การปรับพฤติกรรม
งานชิ้นใหญ่ๆ ของโลก เช่น Fluoridization กับการป้องกันฟันผุ ทดลองกับสองหมู่บ้านริมแม่น้ำฮัดสันริเวอร์ และได้ผลดี แต่เริ่มต้นนั้นมาจาก observational study เสียด้วยซ้ำ
สิ่งที่ว้าวๆ ในโลกนี้ ไม่ได้มาจาก big data ไม่ได้มาจาก sampling ทดลองเป็นร้อยล้านคนหรอกครับ
เรียนสถิติไม่พอต้องเข้าใจ ญาณวิทยา หรือ epistemology หรือ philosophy of science ด้วย
การสลับวัคซีน ทำให้เกิดกลไกใหม่ในการที่ร่างกายจะสร้าง anti-body ที่แตกต่างไป เพราะมี antigen แตกต่างกันไป ด้วยการสร้างทฤษฎีนี้ขึ้นมาก่อน ของปรมาจารย์สองท่าน แล้วจึงไปดึงข้อมูลมาอธิบายทฤษฎี เราน่าจะสนใจ surprise results ที่นำไปสู่ความรู้ใหม่ ในเชิงกลไก
ส่วนการทดลอง แบบ large scale นั้นไม่ได้บอกว่าไม่ให้ทำ ต้องทำ แต่ตอนนี้มันยังไม่มีใครทำเรื่อง third dose แล้วจะรอเวลาทดลองขนาดใหญ่จนสำเร็จก็ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ทันเสียแล้ว
อยากจะอธิบายให้คนที่เรียนสถิติมาแบบผิวเผินได้เข้าใจว่า ขนาดตัวอย่าง (Sample size) ในทางสถิติศาสตร์นี่ถือว่าสำคัญน้อยกว่าเทคนิคการสุ่มตัวอย่าง (Sampling technique) นะครับ
พูดง่ายๆ แบบนี้ ส้มหนึ่งลังที่ซื้อจากตลาดไท มีห้าชั้น แต่ละชั้นมี 50 ลูก เก็บมาตรวจเฉพาะชั้นบนสุดของลัง 50 ลูก ย่อมไม่เจอส้มเน่า แต่เทออกมาทั้งลัง 250 ลูกจากห้าชั้น คลุกให้เข้ากันให้หมด แล้วสุ่มออกมาห้าลูก อาจจะเจอส้มเน่าสองลูก นี่ไงครับ เทคนิคการสุ่มตัวอย่างต้องไม่เอนเอียง ต้องเป็นตัวแทนของประชากรได้ ต้องไม่มีอคติ ดังนั้นเทคนิคจึงสำคัญกว่าขนาด (พูดอย่างนี้ห้ามคิดลึกเป็นเรื่องลามกโดยเด็ดขาด)
แต่ช้าก่อน งานวิจัยไม่ได้มีเฉพาะงานวิจัยเชิงสำรวจ เพราะเราไม่ได้สนใจแค่ค่าสัดส่วน ค่าเฉลี่ย เราสนใจความสัมพันธ์ เช่น การให้วัคซีนโควิด-19 สลับชนิดกัน
ตามทฤษฎีการมี antigen หลากหลาย จะกระตุ้นให้ร่างกายกระตือรือร้นเกิดการสร้าง anti-body หลากหลายและสูงกว่าหลายเท่า อันนี้เป็น association ระหว่างสองตัวแปรแล้ว การกำหนดขนาดตัวอย่างในการทดลองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กรณีที่ n=2 นี้ อาจจะมีข้อสงสัยว่าทำไมไม่ทดลองเยอะๆ ไปเลย ก็เพราะว่ามันยังไม่มีคนได้รับโดสที่สามไงครับ
สิ่งที่อาจจะตั้งสมมุติฐานต่อไปในอนาคต หากทฤษฎีนี้เป็นจริงคือ
คำถามแรก (a) SNV-->SNV-->AZ กับ (b) AZ-->AZ-->SNV อะไรจะดีกว่ากันให้ภูมิสูงกว่ากัน
อันนี้ยังไม่มีคำตอบ สิ่งที่น่าสนใจคือทั้งข้อมูลจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์รวบรวมโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ นิธิ มหานนท์ และข้อมูลจาก วช ซึ่งรวบรวมวิเคราะห์โดย ศ. นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ นั้นพบว่า หนึ่งเดือนหลังได้ Sinovac สองเข็ม มีภูมิสูงกว่าหนึ่งเดือนหลังจากได้ AZ ทั้งสองเข็มนิดหน่อย เป็นไปได้ไหมว่า inactive vaccine หรือเชื้อตายเช่น Sinovac กระตุ้นภูมิด้วยกลไกธรรมชาติ เลยช้ากว่า แต่เป็นม้าตีนปลาย ในขณะที่ AstraZeneca เป็น Viral Vector Vaccine กระตุ้นภูมิได้ไวมาก ในหนึ่งเดือนหลังฉีดเข็มแรกก็มีภูมิสูงมากแล้ว แต่พอหลังเข็มสองหนึ่งเดือน กลับภูมิต่ำกว่า Sinovac ทั้งสองเข็ม ดังนั้น AZ จึงเป็นม้าตีนต้น ความเป็นม้าตีนต้นอีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือคนที่ฉีด AZ มักมีไข้สูงเป็นส่วนใหญ่ แต่คนที่ฉีด Sinovac มักจะไม่มีไข้
คำถามที่สอง การให้วัคซีนสลับในเข็มที่สาม Third dose booster หากสลับวัคซีนจะให้ภูมิดีกว่าใช่ไหม เช่น (c) SNV-->SNV-->AZ) ให้ภูมิสูงกว่าทั้ง (d) AZ-->AZ-->AZ และ (e) SNV-->SNV-->SNV)
คำถามที่สาม และโดยทฤษฎีนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่า (f) SNV-->SNV-->Pfizer) และ (g) AZ-->AZ-->Pfizer) น่าจะให้ภูมิสูงกว่า (h) Pfizer-->Pfizer-->Pfizer)
ซึ่งต้องรอพิสูจน์ มีการติดตามและการทดลอง เพื่อตอบคำพยากรณ์เหล่านี้
ท้ายที่สุด เนื่องจากเป็นทฤษฎีใหม่ และเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นบนโลก (โควิด-19 การกระตุ้นวัคซีนเข็มสาม ผ่านการให้วัคซีนสลับกัน) เรื่องแบบนี้มีคุณค่าและอาจจะนำไปช่วยชีวิตมนุษย์ได้มากมาย ในท่ามกลางทรัพยากรอันจำกัด เพราะเราไม่ได้ผลิตทุกอย่างได้เอง ต้องไปง้อขอเขาซื้อ
อยู่ที่เรียนรู้และปรับตัว สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้ได้เร็วที่สุดและปรับตัวได้เร็วที่สุด
สถิติศาสตร์อย่างเดียวไม่พอนะครับ ต้องเข้าใจในญาณวิทยาด้วยครับ ในทางญาณวิทยาหรือปรัชญาการค้นพบความรู้มีข้อที่อยากให้ฉุกคิดสำหรับการค้นพบว่า SNVSNVAZ ช่วยกระตุ้นภูมิได้ดีมากและป้องกันสายพันธุเดลต้าได้
ประการแรก การค้นพบ ขึ้นอยู่กับคนสังเกตและฉุกใจคิดว่าสำคัญ หากมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น N=1 ก็เพียงพอแล้ว เช่น การค้นพบเพนนิซิลลิน หาก Fleming แค่โยนจานเพาะเชื้อทิ้ง โดยปราศจากความสังเกตและการหาเหตุผลมาอธิบาย โลกนี้ก็จะไม่มีวันค้นพบ Penicillin เป็นเรื่องของสองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย
ประการที่สอง การค้นพบนั้นไม่ได้มาจากสถิติแบบที่คนทั่วไปเข้าใจ เช่น การทดสอบสมมุติฐานทางสถิติ ซึ่งต้องการใช้ขนาดตัวอย่างมากๆ เพื่อให้เกิดนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทั้งหมดทั้งปวงเป็นการยืนยันหรือพิสูจน์ ว่าสิ่งที่ตั้งสมมุติฐานการวิจัยไว้ในใจนั้นเป็นจริงอย่างที่ใจคิดหรือไม่ John Tukey นักสถิติมีชื่อเสียงระดับโลกเรียกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงยืนยัน (Confirmatory data analysis) อันเป็นสิ่งที่คนทั่วไปและนักสถิติส่วนใหญ่จะใช้และยึดติด แต่ John Tukey เสนอให้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงค้นพบ (Exploratory data analysis) ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถเห็นข้อค้นพบด้วยวิธีการอื่น และอยู่บนปรัชญาและแนวคิดในการบุกเบิกค้นพบสิ่งใหม่ๆ และเป็นสิ่งที่นักวิจัยทั่วไปควรทำแต่ไม่ค่อยจะทำกัน
ประการที่สาม ความน่าเชื่อถือของข้อค้นพบ อาจจะใช้คณิตศาสตร์พิสูจน์ ไม่ใช่หาค่า p-value หรือระดับนัยสำคัญทางสถิติ แต่ต้องคำนวณค่าความน่าจะเป็น เช่น โอกาสที่ฉีดวัคซีนแล้ว ภูมิคุ้มกันจะขึ้นเท่ากับที่ ศ.นพ. ยง พบ มีกี่ครั้งในการศึกษาที่ผ่านมา คำตอบก็จะบอกว่ามีน้อยมาก ซึ่งเราเห็นได้จากการแจกแจงของภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังจากการฉีดเข็มสองไม่สลับวัคซีนของทั้ง SNV และ AZ ว่าใกล้เคียงกับระดับภูมิที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหลังการติดเชื้อ แต่ถึงอย่างไรมีค่าความน่าจะเป็นของปลายหางที่ภูมิจะยกระดับไปเป็น 30-40 เท่าของการฉีด SNVSNVAZ น้อยมากหรือแทบจะไม่มี ดังนั้นตัวเลขที่ค้นพบนี้แม้ n=1 หรือ n=2 นี้ก็ตาม ไม่ใช่ค่าสุดโต่ง (outlier) ของระดับภูมิคุ้มกันของการฉีดวัคซีนสองเข็มตัวเดียวกันอย่างแน่นอน
ประการที่สี่ ความน่าเชื่อถือของข้อค้นพบคือการที่ค้นพบตรงกันแม้จะศึกษาคนละกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการที่ต่างกัน และคนที่ศึกษาก็ศึกษาโดยเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน เรียกว่า ผลการศึกษาลู่เข้าหาข้อสรุปเดียวกัน (Converging) กล่าวคือโอกาสที่ 2 แล็บ คือ แล็บ อ. ยง และ แล็บ อ ธีรวัฒน์ จะใช้ วิธีต่างกัน ค้นพบผลสรุปเดียวกัน อ. ธีระวัฒน์สนใจว่าวัคซีนกระตุ้นเข็มสามสลับกันสามารถต่อต้านสายพันธุ์เดลต้าได้ไหม ซึ่งไม่มีการศึกษาอื่นในโลกรายงานมาก่อนแล้ว ผลการทดลองของทั้ง ๒ ท่านเป็นมีโอกาสเป็นการกระจายตัวของข้อมูลโดยบังเอิญมีน้อยมาก เพราะใช้วิธีการต่างกัน วัดคนละค่า ได้ผลเหมือนกัน
ประการที่ห้า ความน่าเชื่อถือของข้อค้นพบมีกลไก/ทฤษฎี รองรับ
SNV กับ AZ มีกลไกกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่างกัน ทำให้เชื่อได้ว่า เสริมแรงกัน หรือเกิดผลคูณ (Multiplicative effect) นอกจากจะเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันสูงมาก ๆ แล้ว ยัง ช่วยต้านเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้อีกด้วย
ทั้งนี้ SNV เป็นวัคซีนเชื้อตาย (Inactive vaccine) เป็นเทคโนโลยีเก่า เอาไวรัสทั้งตัวมาทำให้อ่อนแอหรือตาย ทำให้มีหนามแหลมหรือ spike หลากหลายรูปแบบ ดังนั้นเชื้อตายจะมี antigen หลายตัว แต่ไม่เข้าเซลล์ ประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำกว่า แต่ว่าการมี antigen หลากหลายทำให้มี anti-body หลากหลายน่าจะทำให้มีแนวโน้มจะทนต่อการกลายพันธุ์ได้ดี ถ้ามีระดับภูมิสูงเพียงพอ
ในขณะที่ AZ เป็น viral vector vaccine มี antigen ตัวเดียว เข้าเซลล์ ทำให้ประสิทธิภาพสูง แต่ไม่มี antigen ที่หลากหลายทำให้ไม่อาจจะได้ Anti-body ที่หลากหลาย ไม่น่าจะทนกับการกลายพันธุ์ได้ แต่มีระดับภูมิที่สูง ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันดี
สูตร SNVSNVAZ จึงทำงานได้ดี ทั้งในแง่การสร้างภูมิได้สูงและน่าจะทนต่อไวรัสกลายพันธ์ได้ดีด้วยเช่นกัน
ประการที่หก การที่วัคซีนทั้ง SNV และ AZ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันสายพันธุ์อัลฟา แต่กลับมีแนวโน้มจะสามารถป้องกันสายพันธุ์เดลต้าได้ หมายความว่าอาจจะกันตัวอื่น ๆ ได้อีกด้วย ทำให้เป็นโชคดีของคนไทย ที่ อาจจะเป็นประเทศเดียวที่ฉีดวัคซีนสูตร SNVSNVAZ สูตรเดียวจบ ไม่ต้องกังวลเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคต อาจจะเป็นการดักทางการกลายพันธุ์ในอนาคต
ประการที่เจ็ด เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องการป้องกันเจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสูงให้ปลอดภัยและไม่เป็น super spreader อย่างเร่งด่วน เพราะ บุคลากรเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ SNV ไป ๒ เข็ม ในแง่ปฏิบัติ เชื่อว่าจะรวบรวมเศษวัคซีน AZ มาฉีดให้ได้ครบ แบบไม่รบกวน โควต้าวัคซีนของประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ SNV เป็นวัคซีนเชื้อตาย มีกลไกที่ต่างจากทั้ง Viral Vector Vaccine เช่น AZ กับ mRNA เช่น Pfizer หรือ Moderna โชคดีที่คนไทยฉีด SNV ไว้แล้ว เป็นส่วนมาก คนได้ SNV ไปแล้วสองเข็ม เอา AZ ก้นขวด เร่งด่วน เอาไปฉีดเองได้เลย ตอนนี้ อยากรู้ก็ต้องไปเจาะเลือดดู อีกไม่นานก็มีข้อมูลเป็นร้อยๆ เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีและกลไกที่ได้อธิบายไปนี้
นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข จากจังหวัดพิจิตร ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้
#################
ได้รายงานจาก ด่านหน้านิรนาม ที่ทดสอบกับตนเอง ด้วยการฉีดซิโนแวค 2 เข็มตามปกติ แล้ว เว้นระยะอีก 2 สัปดาห์ ฉีด แอสตร้า และหลังจากแอสตร้า 1 เดือน ลองเจาะภูมิดู ผลภูมิขึ้นมโหฬาร เลยทีเดียวครับ
รายนี้ จะติดตามต่อ ว่า ตอน 3 เดือนให้หลังจากนี้ เจาะซ้ำดูว่าภูมิยังเหลือไหม
ยาฆ่าเชื้อ Penicillin ที่อาจารย์เฟลมมิ่งพบว่าฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เพราะทำราตกไปในจานแบคทีเรีย เลยพบว่าสารจากรา ช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในโลก เพราะมีหลักฐานว่าชาวอิยิปต์เอายีสต์ทารักษาแผลเหมือนกัน
ยาต้านเชื้อโรค ต้านมะเร็ง ต้านไขมัน อีกหลายตัวมีการค้นพบที่ล้วนมาจากการสังเกตธรรมชาติ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรื่องการสลับยี่ห้อวัคซีนฉีด ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ก็มาจากการสังเกตเหมือนกัน เป็นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ และ ตอนนี้ประเทศโลกเจริญแล้วอย่างเยอรมัน ประกาศ ฉีด AZ ตามด้วย วัคซีน mRNA
ไทยประเทศที่คุณหมอเก่งๆเยอะ จะทำอย่างไร โปรดติดตาม ตอนต่อไป
#################
เพิ่มเติม ถ้าใจเย็น ๆ กันอีกซักนิด อีกไม่กี่วัน n เพิ่มขึ้นแน่นอนครับ (เพราะวงในบอกว่ามีหมอฉีดไปแล้วหลายคน) คือเอาเศษวัคซีน AZ ที่ตกค้างก้นหลอดหลังฉีดให้ประชาชนประมาณ 5-6 หลอด มารวมกันให้ได้หนึ่งโดสสำหรับฉีดให้ตนเอง (ประมาณครึ่งซีซี) และมีหมอทำเช่นนี้กันเองไปแล้วเป็นจำนวนมากพอสมควร
เราน่าจะมีข้อมูลยืนยันเพิ่มเติม มีขนาดตัวอย่างเป็นร้อย ๆ โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็นปีก็คือได้ผลงานวิจัยเอาไปใช้งานได้จริง ไม่จำเป็นที่เราต้องมานั่งรอวัคซีนที่เราไม่มีได้
ประการที่แปด เสริมข้อโชคดีอีกข้อคือ คนไทยมีปัญหา เลือกแข็งตัว จาก AZ น้อยมาก คือ 1 ใน 4 ล้าน และรักษาหาย ในขณะที่ยุโรปมีปัญหานี้มาก และคนสิงคโปร์มีหัวใจอักเสบจาก วัคซีน mRNA มากกว่าหลายเท่า ประมาณ 300 รายจากการฉีดไป สองล้านโดส และ ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรค CDC พบว่าการแพ้เช่นนี้ในสหรัฐอเมริกาเองจะพบในเข็มที่สองมากกว่าเข็มแรกราวๆ 3-4 เท่า เพราะเป็นทั้ง mRNA และสารเคลือบ mRNA จากนาโนเทคโนโลยีที่ทะลุทะลวงไปยังเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้เก่งมาก น่าห่วงมากสำหรับ mRNA ว่าหากเป็นเข็มสามการแพ้จะมีมากเพิ่มขึ้นเพียงใด แต่สำหรับคนไทยปัญหานี้ยังน่าห่วงน้อยมาก เพราะคนไทยยังไม่ได้ฉีด Pfizer เลยแม้แต่เข็มแรก ดังนั้นการแพ้อาจจะไม่มากเท่ากับประเทศที่ใช้ mRNA เป็นวัคซีนหลัก
ปล. เราเห็นว่าควรขยายผลการทดลอง ทำซ้ำ (Replication) และสังเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณที่ทำซ้ำกันหลายๆ ชิ้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีเรื่องการสลับวัคซีนกระตุ้นโดสที่สามครับ แต่ทำในอนาคต เมื่อมีข้อมูลเพียงพอแล้ว