xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธการฟ้าทะลายโจร โค่นโควิดใน 150 วัน/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถานการณ์โควิด-19ในประเทศไทยปัจจุบันเข้าสู่การระบาดไปทั่วประเทศอีกทั้งยังทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจหนักยิ่งไปกว่าเดิม จนถือได้ว่าพ่ายแพ้ทั้งสมรภูมิการควบคุมโรค และวัคซีน ดังนี้

ประการแรก การปล่อยให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครกลับบ้านได้หลังสงกรานต์เป็นชนวนอันสำคัญที่ทำให้ประเทศไทย เกิดการระบาดไปทั่วประเทศไทยในวันนี้ รวมถึงการปล่อยปละละเลยในคลัสเตอร์สำคัญๆที่เป็นผลมาจากอำนาจรัฐ เช่น สถานบันเทิง บ่อนการพนัน แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ฯลฯ รวมถึงการไม่ล็อกดาวน์ชุมชนแออัดหรือแคมป์คนงานทันทีตั้งแต่แรก

จึงถือว่าในปี 2564 มาตรการ “ป้องกัน” เพื่อควบคุมโรคล้มเหลวอย่างยิ่ง จึงเกิดปัญหาบานปลายมาถึงวันนี้

ประการที่สอง วัคซีนแม้จะมีส่วนช่วยในการลดความรุนแรงลง แต่ยังไม่ได้อยู่ในฐานะการ “ป้องกัน”ไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำหลังฉีดวัคซีน ผู้ที่ฉีดวัคซีนเมื่อติดเชื้อแล้วจะมีความรุนแรงของโรคลดลง จึงทำให้ไม่รู้ตัวเองว่าติดเชื้อ และยังสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ คล้ายๆกับผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ

ประการที่สาม แม้สมมุติว่าวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงให้น้อยลง หรือ ช่วยลดเชื้อจึงช่วยลดการแพร่กระจาย แต่ปัญหาของตัววัคซีนและการบริหารจัดการวัคซีนยังไม่สามารถทำให้หยุดโรคระบาดได้ เช่น ปัญหาฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อได้อีก, ปัญหาฉีดวัคซีนแล้วภูมิไม่ขึ้นต้องฉีดจำนวนเข็มเพิ่มมากขึ้น, ปัญหาไวรัสกลายพันธุ์เร็วกว่าอัตราการฉีดวัคซีน, ปัญหาวัคซีนมาช้า, ปัญหาวัคซีนไม่พอ, ปัญหาคนกลัวผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวหลังวัคซีน ฯลฯ สะท้อนให้เห็นว่าวัคซีนยังไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้

เงื่อนไขทั้ง 3 ประการข้างต้น จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นโดยตัวเลขไม่ลดลงเลย ในขณะที่จำนวนตัวเลขที่มีการประกาศอยู่ทุกวันนั้น เป็นตัวเลข “เท่าที่ตรวจได้” ตามน้ำยาและจำนวนแลปที่มี

แม้แต่การตรวจหาเชื้อก็ยังรอคิวยาวมาก ดังนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อจริงน่าจะมีจำนวนมากกว่าตัวเลขที่รายงานหลายเท่าตัว โดยเฉพาะการระบาดในกรุงเทพมหานครนั้น เกินกำลังบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ห้องฉุกเฉินและห้องแรงดันติดลบหลายแห่งไม่สามารถมีจำนวนรองรับผู้ป่วยได้แล้ว

ดังนั้นแม้แต่การเพิ่มจำนวนเตียงสนามก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะเตียงแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยจำนวนผู้ป่วยล้นเกินบุคลากรทางการแพทย์แล้ว

ซ้ำเติมด้วยสถานการณ์หลังปิดแคมป์คนงานในกรุงเทพมหานครเป็นเวลา 1 เดือน โดยขาดมาตรการรองรับอย่างเพียงพอ แล้วปล่อยให้คนงานกลับบ้านได้ ต่อมาภายหลังอ้างว่าเนื่องจากเตียงในโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครล้นแล้ว จึงต้องการกระจายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลต่างจังหวัด

ซึ่งถ้าอ้างด้วยเหตุผลในภายหลังเรื่องการกระจายผู้ป่วยให้ไปโรงพยาบาลในต่างจังหวัดนี้ ก็ย่ิงมีข้อน่าสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่จัดการขนส่งเป็นระบบไปยังสถานที่กักตัวหรือโรงพยาบาลในต่างจังหวัดโดยทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ต่างคนต่างกลับ จนกระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนงานเหล่านี้ไปที่ใดและแพร่เชื่อต่อกันไปอีกกี่คน จะเรียกได้ว่านี่คือการกระจายไปโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดอย่างไร

อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์ “ควบคุมโรค” และ “การป้องกันโรคด้วยวัคซีน”ไม่ประสบความสำเร็จ คงเหลือแต่ “การรักษาให้หายโดยง่าย”เท่านั้นที่จะพอมีโอกาสหยุดโรคโควิด-19 ได้ โดยข้อมูลในขณะนี้ สมุไพรที่ชื่อ “ฟ้าทะลายโจร” มาได้ไกลที่สุด เมื่อเทียบกับสมุนไพรหรือตำรับยาอย่างอื่น

ทั้งนี้ ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ไม่ต้องสกัดสารสำคัญใดๆและมีประวัติในการใช้ในโรคหวัดมาเป็นเวลานานแล้ว ในขณะที่กระชายขาวจะต้องสกัดสารสำคัญออกมาเท่านั้น เพราะเมื่อมาถึงขั้นตอนในสัตว์ทดลองพบว่า หากกินกระชายขาวสดเพื่อให้ฤทธิ์ทางยาจะต้องใช้ปริมาณมากกว่า 1 กิโลกรัม ซึ่งแปลว่ากระชายาวต้องสกัดสารสำคัญออกมาอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะได้ผล ส่วนขิงนั้นนักวิจัยยังไม่ได้วิจัยในสัตว์ทดลองต่อว่าเป็นอย่างไร

โดยการทดสอบของกรมการแพทย์แผนไทยในการให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวัน กับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการน้อยจำนวน 309 คนพบว่ามีโอกาสปอดอักเสบเพียง 3 คนคิดเป็นสัดส่วนของปอดอักเสบเหลือเพียง 0.97% เท่านั้นโดยไม่พบผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว เทียบกับกลุ่มอื่นๆที่ไม่ได้มีการใช้ฟ้าทะลายโจรที่มีอาการปอดอักเสบมากถึง 14%

ต่อมาวันที่ 22 เมษายน 2564 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ศบค. ได้ประกาศยอมรับว่าฟ้าทะลายโจรเป็นทางเลือกในการรักษาโรคโควิด-19 ได้

จนในที่สุดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 นายอนุทิน ชายวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ให้สารสกัด และยาผงหยาบฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นบัญชียาหลักแห่งชาติ ที่สามารถช่วยลดอาการความรุนแรงของโรคโควิด-19 ได้

ความน่าสนใจคือเมื่อพิจารณถึงสถานการณ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ประเทศไทยมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 6,884 คน และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 61 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตต่อจำนวนผู้ป่วย 0.88%

สำหรับการระบาดระลอกสอง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564 -31 มีนาคม 2564 ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เฉพาะช่วงนี้ จำนวน 21,979 คน มีผู้เสียชีวิตสะสมช่วงนี้ 33 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตต่อจำนวนผู้ป่วย 0.15% ซึ่งถือว่าช่วงเวลานี้ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตลดน้อยลงกว่าปี 2563 เพราะแพทย์ในประเทศไทยมีประสบการณ์มากขึ้น ด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือและบุคคลากรทางการแพทย์มีเพียงพอ

แต่การระบาดระลอกที่สาม ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2564 จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เฉพาะช่วงนี้จำนวน 207,428 คน มีผู้ป่วยเสียชีวิตเฉพาะช่วงนี้ 1,725 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 0.83% อันสะท้อนให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตกลับเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564

ช่วงเวลาเดียวกันนี้เองได้เกิดการระบาดโรคที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ ทางกระทรวงยุติธรรมได้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรเป็นยาร่วมรักษา ผลปรากฏว่าจำนวนผู้ต้องขัง ถึง ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2564 มีนักโทษรวมทั้งสิ้น 6,562 คน ติดเชื้อโควิด-19 สะสมรวมทั้งสิ้น 4,169 คน รักษาหายแล้วถึง 3,980 คน มีผู้เสียชีวิต 3 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 0.072% เท่านั้น ซึ่งน่าอัศจรรย์ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศไทยในทุกช่วงเวลา

สรุปสัดส่วนผู้เสียชีวิตกับผู้ติดเชืเอแต่ละช่วงเวลาคือ

ช่วงเวลา 2563 ในประเทศไทย ถ้ามีผู้ติดเชื้อ 10,000 คน จะมีผู้เสียชีวิต 88 คน

ช่วงเวลา 1 มกราคม 2564-31 มีนาคม 2564 ประเทศไทยถ้ามีผู้ติดเชื้อ 10,000 คน จะมีผู้เสียชีวิต 15 คน

ช่วงเวลา 1 เมษายน 2564 -25 มิถุนายน 2564 ประเทศไทยถ้ามีผู้ติดเชื้อ 10,000 คน จะมีผู้เสียชีวิต 83 คน

แต่สำหรับเรือนจำกลางเชียงใหม่ซึ่งมีการใช้ฟ้าทะลายโจรในการลดอาการของผู้ป่วย ช่วงเวลา 1 เมษายน 2564-18 มิถุนายน 2564 ถ้ามีผู้ติดเชื้อ 10,000 คน จะมีผู้เสียชีวิต 7 คนเท่านั้น

นอกจากนั้นยังมีการรายงานผลของนายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี ซึ่งบรรยายประสบการณ์การนำยาสมุนไพรไทยไปใช้ในสถานการณ์การระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ในเรือนจำกรุงเทพมหานคร ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขจัดการสัมมนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564

โดยนายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลางรายงานการพบว่าเมื่อใช้“ผงหยาบ” ฟ้าทะลายโจรในขนาดแคปซูล 400 มิลลิกรัม กิน 4 เม็ดต่อครั้งและ 3 ครั้งต่อวัน หรือประมาณ 4.8 กรัมต่อวันเป็นเวลา 5 วัน ปรากฏว่าผู้ป่วยโควิด-19 ตรวจเชื้อไม่พบเลยในวันที่ 8 ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ต้องใช้เวลา 12 วันที่จะตรวจไม่พบเชื้อเลย

แปลว่าฟ้าทะลายโจรเหนือกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ และไม่ต้องสกัดอะไรเหมือนกระชายขาว

ความน่าสนใจคือ ผงหยาบฟ้าทะลายโจร 4.8 กรัมต่อวัน ที่ชนะยาฟาวิพิราเวียร์ได้นั้น เป็นปริมาณใช้น้อยกว่า “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจรขั้นต่ำสุดใน “โรคหวัดธรรมดา” ที่ต้องใช้ผงฟ้าทะลายโจรประมาณ 6 กรัมต่อวันเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงว่า โรคโควิดจัดการได้ง่ายกว่าและกระจอกว่าโรคหวัดเมื่อใช้ฟ้าทะลายโจรหรือไม่?

และปริมาณผงหยาบฟ้าทะลายโจรที่ใช้ 4.8 กรัมต่อวันนั้น เมื่อตรวจสารแอนโดรกราโฟไลด์นั้นได้เพียง 132 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่ต้องใช้มากถึง “สารสกัด”จากฟ้าทะลายโจรที่ต้องใช้สารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายเพียงน้อยนิดก็จัดการกับโรคโควิด-19 ได้แล้ว

สอดคล้องกับอัตราการติดเชื้อในเรือนจำที่รุนแรงและมีจำนวนมากก่อนหน้านี้ กลับมีอัตราการติดเชื้อลดลงอย่างฮวบฮาบ และสามารถสยบเชื้อโควิด-19 ได้ดีกว่านอกเรือนจำ

สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือข้อมูลของคุณรสนา โตสิตระกูล มูลนิธิสุขภาพไทย ได้แจกฟ้าทะลายโจรไปในชุมชนคลองเตยซึ่งเป็นชุมชนแออัด หลายคนนอนห้องเดียวกัน พบว่าผู้ที่ใช้ฟ้าทะลายโจร 4.8 กรัม หรือใช้แคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม จำนวนเพียงแค่ 12 เม็ดต่อวัน

ปรากฏว่ามีหลายบ้านในชุมชนคลองเตย ผู้ที่กินฟ้าทะลายโจรไม่ติดเชื้อแต่คนที่ไม่ได้กินกลับติดเชื้อ บางคนที่ไม่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจรกลับติดเชื้ออยู่คนเดียวในบ้าน ทั้งๆที่นอนห้องเดียวกันกับคนที่กินฟ้าทะลายโจรด้วยซ้ำไป

และทำให้ต้องคิดกันว่าถึงเวลาที่จะต้องนำ “ฟ้าทะลายโจร” มาเป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างจริงจังได้แล้ว

โดยเฉพาะเมื่อการป้องกันเพื่อการควบคุมโรค และวัคซีน ยังไม่ประสบความสำเร็จ การใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อ “การบำบัดรวมหมู่” หรือเรียกว่า “Herd Therapy” อาจเป็นทางออกของประเทศทางเดียวในเวลานี้ก็ได้


ทำไมต้อง “บำบัดรวมหมู่” ด้วยการใช้ฟ้าทะลายโจร?

ประการแรก ฟ้าทะลายโจรไม่สามารถป้องกันโควิดได้ แต่ช่วยลดเชื้อโควิดได้แน่ๆ

ด้วยกลไกของสารสำคัญหลายชนิดในฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง ค้นพบว่ามันเข้าไปจับยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ของโควิด-19 หลายตำแหน่ง ทั้งการออกฤทธิ์ไปที่ตัวรับไวรัสที่ปอด ยับยั้งเอนไซม์ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนสารพันธุรรม (RNA) ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ตัดโปรตีนเพื่อทำให้ขยายสำเนาไวรัสต่อไป และยังออกฤทธิ์ในตำแหน่งโปรตีนส่วนหนามของโควิด-19 ที่ใช้จับกับตัวรับที่เซลล์ด้วย

นี่คือเหตุผลว่าฟ้าทะลายโจรจึงไม่เกี่ยงการกลายพันธุ์ของโควิด-19 และฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ต้านไข้หวัดโดยไม่เกี่ยงการกลายพันธุ์มานมนานแล้ว

แปลว่าใครที่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อโควิด ติดเชื้อไม่แสดงอาการ หรือไม่มีโอกาสไปตรวจเชื้อ ก็สามารถลดเชื้อได้โดยการกินฟ้าทะลายโจร ยิ่งมีเชื้อน้อยๆแต่แรก ก็จะถูกกำจัดได้โดยทันที

ประการที่สอง เมื่อพบผู้ติดเชื้อรายหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลเพื่อกักตัวแล้วดูอาการ ก็อาจจะหลงเหลือคนที่ติดเชื้อแต่ยังตรวจเชื้อไม่พบหรือไม่มีอาการเพราะอยู่ระหว่างการฟักตัว ดังนั้นสถานที่ใดที่เคยมีผู้ติดเชื้อแล้วจะมีโอกาสเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่จบง่ายๆ

แปลว่าต้องจัดการในการใช้ฟ้าทะลายโจร “พร้อมกัน”ในรูปแบบบำบัดรวมหมู่เท่านั้น จึงจะช่วยลดเชื้อโดยรวมของสถานที่แห่งนั้นได้

ดังนั้นหลักการ คือ สถานที่ใดที่มีผู้ติดเชื้อแม้แต่เพียงรายเดียว “คนทั้งหมด”ที่เกี่ยวข้องทั้งป่วยและไม่ป่วยจะต้องกินฟ้าทะลายโจร “พร้อมกัน”เพื่อหยุดระบาดรวมหมู่ให้เร็วที่สุด

ทำไมต้องบำบัด “พร้อมกัน”

การใช้ฟ้าทะลายโจรไม่ได้เป็นการป้องกัน แม้คนๆหนึ่งจะกินฟ้าทะลายโจรเพื่อลดเชื้อโควิด แต่เมื่อหยุดกินแล้วก็มีโอกาสจะติดเชื้อจากผู้อื่นได้อีก

ถึงแม้ว่าในสถานที่ทำงานเดียวกัน หรือครอบครัวเดียวกัน เมื่อกินฟ้าทะลายโจรในสถานที่หนึ่งพร้อมกันแล้ว อีกสถานที่หนึ่งที่ยังระบาดอยู่ก็ยังสามารถนำเชื้อมาแพร่ต่อไปเข้ามายังสถานที่ซึ่งหยุดระบาดไปแล้วได้เช่นเดียวกัน แปลว่าต้องทำหลายๆสถานที่พร้อมกัน

ดังนั้น เพื่อป้องกันจากการสลับกันการติดเชื้อระหว่างบุคคล และป้องกันระบาดการติดเชื้อข้ามสถานที่ สุดท้ายแล้วก็จะต้องทำ “ทุกสถานที่” และอาจจะต้องมีวันที่มีการนัดพร้อมกินกันทั้งจังหวัดในที่สุดด้วย

แต่ต่อให้มีการกินฟ้าทะลายโจรทั้งจังหวัด ก็อาจจะมีการนำเชื้อจากจังหวัดที่ระบาดข้ามมาแพร่ให้กับจังหวัดที่หยุดการแพร่ระบาดซ้ำได้อีก นั่นแปลว่าสุดท้ายเราอาจต้องมีวัน “ดีเดย์ “ กินฟ้าทะลายโจร “พร้อมกันทั้งประเทศ” อีกวันหนึ่งอีกด้วย

กินฟ้าทะลายโจรปริมาณเท่าไหร่จึงจะ “บำบัดรวมหมู่”

จากกรณีศึกษาการใช้ผงฟ้าทะลายโจรเพียงแค่ 4.8 กรัมต่อวัน หรือแคปซูลผงยาฟ้าทะลายโจรขนาด 400 มิลลิกรัมจำนวน 12 เม็ดต่อวัน ครั้งละ 4 เม็ด 3 เวลา เช้า กลางวันเย็น

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าปริมาณ 4.8 กรัมต่อวัน หรือ 12 แคปซูลต่อวันของผงฟ้าทะลายโจรนั้น “น้อยกว่า” ปริมาณยาผงฟ้าทะลายโจร “ขั้นต่ำสุด” ของโรคหวัด 16 เม็ดต่อวัน หรือ 6 กรัมต่อวัน

แม้จะเป็นจำนวนหายป่วยโดยใช้เพียงแค่ 4.8 กรัมต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าปริมาณการใช้ขั้นต่ำสุดของโรคหวัด แต่ก็พบว่าประสบความสำเร็จถึง 2 สมรภูมิ

สมรภูมิที่ 1 ที่เรือนจำกรุงเทพสามารถหายป่วยโดยตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นศูนย์จากการกินฟ้าทะลายโจร 4.8 กรัมต่อวัน หรือ 12 แคปซูลต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน ผู้ป่วยตรวจเชื้อโควิดเหลือ 0 ในวันที่ 8 แต่ยาฟาวิพิราเวียร์ต้องใช้เวลาถึงวันที่ 12

สมรภูมิที่ 2 ที่คลัสเตอร์คลองเตย ซึ่งเป็นชุมชนแออัด และสมาชิกครอบครัวนอนบ้านเดียวหรือนอนห้องเดียวกัน พบกรณีศึกษาในประชากรกลุ่มนี้ว่าหากินผงฟ้าทะลายโจรขนาดแคปซูล 400 มิลลิกรัม ต่อเนื่องเพียง 12 แคปซูลต่อวัน หรือ 4.8 กรัม เมื่อตรวจเชื้อหลังวันที่ 5 เป็นต้นไปกลับไม่ติดเชื้อ ในขณะที่สมาชิกในบ้านเดียวกันที่ไม่ได้กินผงฟ้าทะลายโจรกลับติดเชื้อโควิด

สมรภูมิที่ 3 เกิดขึ้นที่แผนกไอที ของเอเอสทีวี มีพนักงานติดเชื้อโควิด 2 ราย จึงได้มีการให้คนทั้งชั้นของอาคารนั้น กินฟ้าทะลายโจรพร้อมกันทุกคนๆละ 16 เม็ดแคปซูลต่อวัน หรือ 6 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วันหลังจากนั้นไม่พบว่ามีคนติดเชื้อเพิ่มเติมแต่ประการใด

จะเห็นได้ว่ากรณีศึกษาข้างต้นมีทั้งกิน 12 เม็ดต่อวัน (4.8 กรัมต่อวัน) และ 16 เม็ดต่อวัน (6 กรัมต่อวัน) บำบัดได้ทั้งคู่ แต่เพื่อความเป็นเอกภาพจึงควรไปในทิศทางเดียวกันเพื่อไม่ให้ประชาชนสับสน คือ

“ในทุกพื้นที่เป้าหมายผมเสนอให้กินฟ้าทะลายโจรแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัมขนาด 16เม็ดต่อวันคิดเป็นจำนวน 6กรัมต่อวันสำหรับน้ำหนักตัว50กิโลกรัมเป็นเวลา 5วันต่อเนื่องกันเพื่อการบำบัดรวมหมู่”

ใครทำได้ก่อนให้ทำได้ตั้งแต่วันนี้เลย

ทำไมต้องตัวเลข 6 กรัมต่อวัน หรือ 16 เม็ดต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน?

ประการแรก มาจากปริมาณยา “ต่ำสุด” ของโรคไข้หวัด คือ 6 กรัมต่อวัน จึงมีความปลอดภัย และสามารถชนะโรคหวัดได้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ มานานกว่า 20 ปี และมากกว่าปริมาณยาที่ประสบความสำเร็จที่เรือนจำกรุงเทพด้วย

ประการที่สอง องค์การอาหารและยากำหนดมาตรฐานยาฟ้าทะลายโจรต้องมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ 1% ขึ้นไป นั่นหมายความว่าอย่างน้อยที่สุดแม้จะเป็นฟ้าทะลายโจรที่มีมาตรฐานต่ำที่สุด ในการกินผงฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน ก็จะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เคยใช้ในผู้ป่วยโควิดที่ “ไม่แสดงอาการ” มาแล้ว ก็ไม่พบว่ามีอันตรายแต่ประการใด

และแปลว่าผงฟ้าทะลายโจรจะใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ จึงจะสามารถนำมาใช้เพื่อการบำบัดรวมหมู่ได้ในวงกว้าง ถึง กว้างที่สุด และราคาไม่แพงด้วย

ประการที่สาม มาตรฐานทั่วไปของผงฟ้าทะลายโจรในประเทศไทยมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เกือบทั้งหมด มีมากกว่า 1% สำรวจพบคุณภาพฟ้าทะลายโจรว่า โดยเฉลี่ยแล้วหากใช้ผงฟ้าทะลายโจรที่ทำจากลำต้นเหนือดินขึ้นไปในประเทศไทย จะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์มากกว่า 1.7% ขึ้นไป นั่นหมายความว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์จะมีประมาณ 102 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไปในการกินผงฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน

ซึ่งแปลว่าปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ 102 มิลลิกรัมต่อวันในการกินผงฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน ย่อมสูงกว่าปริมาณสารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ที่กรมการแพทย์แผนไทยฯได้เคยให้กับ “ผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ”

ดังนั้นปริมาณผงฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน ที่ทำให้มีสารแอนโดรกราโฟไลด์มากกว่า 1.7% ย่อมไม่สามารถเป็นพิษได้เช่นกัน เพราะกรมการแพทย์แผนไทยก็เคยใช้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์มากกว่านี้ ถึง 180 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน ดังนั้นการกินผงฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 5 วันจึงมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

ประการที่สี่ ผงฟ้าทะลายโจรในปริมาณ 6 กรัมต่อวัน ในผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงเช่น ทำจากเฉพาะ “ใบ” ฟ้าทะลายโจรอย่างเดียวจะมีคุณภาพสูงมาก นั่นหมายถึงว่าการกินฟ้าทะลายโจรในคุณภาพเช่นนี้อาจไม่ต้องถึง 6 กรัมต่อวันก็ได้

แต่เพื่อป้องกันการสับสน ต่อให้กินผงฟ้าทะลายโจรที่ทำจากใบอย่างเดียว 16 เม็ตต่อวัน หรือ 6 กรัมต่อวัน ในการกินเพียงระยะเวลา 5 วันนั้น อาจทำให้สารแอนโดรกราโฟไลด์มากถึงหรือมากกว่า 180 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ก็ไม่สามารถเกิดเป็นพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังได้ เพราะไม่ได้กินแบบสารสกัด แต่เป็นการกินแบบ “ผงหยาบ” จึงมีความปลอดภัยต่อทุกเซลล์สูงเช่นกัน

ประการที่ห้า ปัจจุบันเชื้อโควิด-19 ในช่วงหลังมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นกว่าเดิม การยืนพื้นในปริมาณผงฟ้าทะลายโจรที่ปริมาณ 6 กรัมต่อวันนั้นก็เพื่อความไม่ประมาท เพื่อป้องกันยาอ่อนเกินไป หรือเชื้อมีความรุนแรงขึ้นกว่าที่คาดการณ์

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมต้อง 6 กรัมต่อวัน หรือ 16 เม็ดต่อวัน เป็นเวลา 5 วันในการบำบัดรวมหมู่ และสามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้
หน่วยงานก่อสร้าง และโรงงานที่พบการติดเชื้อ ควรให้ฟ้าทะลายโจรกับแคมป์คนงานและแรงงานในโรงงานก่อนเลย และกินพร้อมกัน 5 วัน อาจหยุดเชื้อในแคมป์คนงานได้ภายใน 8 วันเท่านั้น ไม่ต้องปิดแคมป์คนงานหรือไซต์งานถึง 1 เดือนก็ได้ ถ้ามีการตรวจเชื้อเบื้องต้นแบบรวดเร็ว

และถ้าโมเดลแคมป์คนงานสำเร็จ ต่อไปทุกกิจการก็ทำแบบนี้ได้ จริงหรือไม่

ไม่ต้องมีใครปิดกิจการอีก และโรคนี้ก็จะกลายเป็น “โรคธรรมที่สามารถรักษาให้หายโดยง่ายในระยะเวลาอันสั้น” เอาจริงๆแล้วถ้าโรคหายได้ภายใน 5-8 วัน ด้วยฟ้าทะลายโจรได้ โควิด-19 อาจจะยังกระจอกกว่าไข้หวัดใหญ่เสียด้วยซ้ำไป

เปิดยุทธการฟ้าทะลายโจรโค่นโควิดใน 150 วัน

ยุทธการที่หนึ่ง 30 วันแรก ประกาศรับแนวร่วมทุกมิติ และเตรียมตัวปลูกเพื่อโค่นโควิดใน 150 วัน

โดยเตรียมหาเมล็ดเพื่อปลูกฟ้าทะลาโจรให้มากทุกที่เพื่อใช้งานทั้งประเทศในอีก 150 วันข้างหน้า


เพราะวันนี้เราคงไม่มีฟ้าทะลายโจรเพียงพอกับคนไทย 70 ล้านคนทั้งประเทศที่จะดีเดย์พร้อมกันแน่ๆ แต่เรามีผืนดินซึ่งต้นทุนต่ำที่สุด

คนที่เชื่อแนวทางนี้ จึงควรใช้เวลา 30 วันแรกให้คนไทยทุกคนช่วยกันบริจากหาเมล็ดและกระจายเมล็ด เพื่อปลูกฟ้าทะลายโจรให้มากที่สุด ทั่วประเทศไทย ขอให้ทุกคนที่มีที่ดินว่างเปล่าอยู่ไม่ได้ทำอะไร เสียสละพื้นที่ให้กับประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤตินี้ให้ได้

โดยฟ้าทะลายโจร 1 ต้น เมื่อถึงเวลา 4 เดือนเศษที่จะต้องเก็บเกี่ยวเพราะมีตัวยามากที่สุด จะมีน้ำหนักตั้งแต่ลำต้นเหนือดินประมาณ 40-50 กรัม เมื่อตากแห้งแล้วจะเหลือประมาณ 4-5 กรัมเท่านั้น

ถ้าเราต้องการกิน 6 กรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน เราก็ต้องเตรียมไว้ 30 กรัมแห้ง แปลว่าเราจะต้องปลูกฟ้าทะลายโจรประมาณ 9-10 ต้นต่อคน ในสมาชิกครอบครัวมีเท่าไหร่ก็คูณเข้าไป

ถ้าเรามีที่ดินมากกว่านั้น ก็ช่วยกันปลูกเพื่อช่วยญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ถ้ามีที่ดินมากว่านั้นก็สามารถมีมากพอไปช่วยคนอื่นในระดับประชาชาติได้

และแปลว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปถ้าเราต้องการสำหรับ 70 ล้านคน เราจะต้องช่วยกันปลูกฟ้าทะลายโจรให้ไม่น้อยกว่า 700 ล้านต้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อกินพร้อมกันในระดับประชาชาติวันที่ 150

ยุทธการที่สอง สยบโควิดในเมืองและสมรภูมิย่อยให้จบภายใน 90-120 วัน ในระหว่างรอต้นไม้โต ทุกคนสามารถช่วยเหลือแจกฟ้าทะลายโจรทุกแคมป์คนงาน และทุกชุมชนแออัด แล้วให้มีนัดหมายดีเดย์ฟ้าทะลายโจรพร้อมกันเป็นแต่ละกลุ่มย่อยที่มีความพร้อมและให้ทำโดยทันที

ดังนั้นสมรภูมิย่อยเกิดขึ้นที่ใดให้พี่น้องประชาชนระดมกำลัง ทั้งฟ้าทะลายโจร อาหาร น้ำดื่ม และร่วมกันทำความสะอาดสถานที่อย่างพร้อมเพรียงกัน

เอกชนเตรียมหาฟ้าทะลายโจรให้กับพนักงานทุกคนใน 30 วัน แล้ว ถ้าจะนัดหมายรอบแรกในระดับชุมชนหรือกรุงเทพมหานคร และภูเก็ตรอบแรกภายใน 120 วัน

จากหลักการข้างต้นในการใช้ฟ้าทะลายโจร จึงเสนอแนวคิดดังนี้

1.หากมีสถานที่ใดพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แม้แต่คนเดียว ให้สถานที่แห่งนั้นให้กินฟ้าทะลายโจรแบบ “ผงหยาบ” ขนาดแคปซูล 400 มิลลิกรัม จำนวน 4 เม็ดต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ให้สถานที่นั้นกำหนดให้ “กินพร้อมกัน” และ “กินทุกคน” เพื่อ “ลดเชื้อรวมหมู่” เพื่อป้องกันการสลับกันติดเชื้อของผู้ป่วย

2.หลักการสำคัญคือต้อง “กินพร้อมกัน “ และ “กินทุกคน” เพื่อเป็นการบำบัดรวมหมู่ และกินให้เร็ว และทำทันทีเพื่อลดเชื้อรวมหมู่ให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สถานที่ทำงาน แคมป์คนงาน

3.เงื่อนไขสำหรับเด็กให้คำนวณตามน้ำหนักเด็กเป็นสำคัญตามสัดส่วน 6 กรัมต่อวันสำหรับน้ำหนัก 50 กิโลกรัม

4.การกินฟ้าทะลายโจรอาจทำให้น้ำตาลอาจลดลง ความดันลดลง เลือดเหลวตัวลง ดังนั้นผู้ที่กินยาแผนปัจจุบันอยู่ทั้งยาลดน้ำตาล ยาลดความดัน และยาละลายลิ่มเลือด จะต้องพิจารณาเอาเองจากการตรวจวัดอย่างรอบคอบว่าจะเลือกกินฟ้าทะลายโจรแล้วหยุดยาระหว่างการ “บำบัดรวมหมู่” หรือจะไม่กินยาฟ้าทะลายโจร

5.ยาผงฟ้าทะลายโจรเป็นยารสขมและมีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณมากกว่าลดไข้ ไข้หวัด เจ็บคอ แต่ยังมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ลดน้ำตาล ลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และทำให้นอนหลับง่ายขึ้น จึงให้ดูสรรพคุณเหล่านี้ว่าเหมาะกับตัวเองหรือไม่

6.สำหรับผู้ที่แพ้ฟ้าทะลายโจร ให้หยุดยาฟ้าทะลายโจร มีคำแนะนำว่าสตรีตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจร (แต่มีหมอแพทย์แผนไทยบางคนได้จ่ายให้สตรีมีครรภ์ที่ป่วยเป็นโควิด-19 และให้ผลดีด้วย)

7.สำหรับผู้ที่มีภาวะตัวเย็นเกิน (มือเท่าเย็น หนาวง่าย) ไทรอยด์ต่ำ ความดันต่ำ และยังไม่ได้ป่วย แต่ต้องการกินบำบัดรวมหมู่ด้วยการกินคู่กับเครื่องดื่มฤทธิ์ร้อนประกบไปตลอดทั้งวัน เช่น น้ำขิง พริกไทย และอาหารเผ็ดร้อน แต่เมื่อเป็นไข้ เจ็บคอ ให้หยุดยาฤทธิ์ร้อนเหล่านี้โดยทันที แล้วกินยาฟ้าทะลายโจรอย่างเดียว

ยุทธการที่สาม เตรียมประชาชนตากแห้งและเตรียมความพร้อมใช้ฟ้าทะลายโจรทั้งประเทศ ในการกินฟ้าทะลายโจรพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 150 ซึ่งจะกำหนดอีกครั้ง

แผนงานรวมใจทุกคน ทุกขั้วเสียสละเพื่อประโยชน์ของชาติ

ยุทธการฟ้าทะลายโจรโค่นโควิดใน 150 วัน ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ต้องพร้อมใจกันเท่านั้น ขอให้ทุกคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง มวลชนสีเสื้อ นักธุรกิจ ได้วางผลประโยชน์และอำนาจของตัวเองลงก่อน แล้วมาช่วยทำภารกิจเปิดรับแนวร่วมยุทธการฟ้าทะลายโจรโค่นโควิดใน 150 วัน

1. ขอให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับฟ้าทะลายโจร กระชาย โรงพยาบาล อุตสาหกรรมอาหาร ภาคการสื่อสารกิจการโทรคมนาคม ที่มีกำไรมากในช่วงนี้ ได้ปันส่วนกำไรของทุกท่านมาบริจาคฟ้าทะลายโจรให้กับคนยากจนที่ไม่มีกำลังสำหรับฟ้าทะลายโจรเพื่อกำหนดนัดหมาย “บำบัดรวมหมู่”ในทุกสมรภูมิเพื่อฝ่าวิกฤติครั้งนี้ให้ได้

2.ขอให้ผู้ที่มีกำลังช่วยกันบริจาคงบประมาณและผลิตภัณฑ์ ทั้งเพื่อปลูกและผลิตฟ้าทะลายโจร โดยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะเปิดรับบริจาคทุกอย่าง เช่น เมล็ดฟ้าทะลายโจร แคปซูลฟ้าทะลายโจร ต้นอ่อนฟ้าทะลายโจร ฟ้าทะลายโจรตากแห้ง เงินบริจาค และจะนำไปทำกิจกรรมบำบัดรวมหมู่ในทุกสมรภูมิ

รวมถึงโรงงานผลิตสมุนไพรใดที่จะช่วยนำวัตถุดิบจากประชาชนมาช่วยผลิตฟ้าทะลายโจร ขอให้แจ้งความจำนงในการกอบกู้ชาติครั้งนี้ด้วย

3.ภาคขนส่งใดที่จะช่วยทำกิจกรรมนี้ได้ ได้โปรดแสดงตัวในการทำบุญหรือลดราคาต้นทุนช่วยกันขนส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับฟ้าทะลายโจร

4.ขอเปิดรับอาสาสมัครแนวร่วมทุกมิติ สำหรับยุทธการฟ้าทะลายโจรโค่นโควิดใน 150 วัน ทั้งในระดับองค์กรทั้งรัฐและเอกชน จังหวัด อำเภอ ตำบล ร่วมถึงโซเชียลมีเดีย ที่จะช่วยกันประสานงาน แจ้งเบาะแส และแจกฟ้าทะลายโจรให้สำเร็จ โดยไม่เกี่ยงพรรคการเมือง ไม่เกี่ยงสีเสื้อ ไม่เกี่ยงความเชื่อทางการเมือง ขอให้ทุกท่านวางอัตตาและผลประโยชน์ เพื่อการฝ่าวิกฤติครั้งนี้ร่วมกัน

5.คลัสเตอร์ใดต้องการฟ้าทะลายโจรเพื่อทำภารกิจ “บำบัดรวมหมู่”ขอให้ประสานกันเข้ามาให้มากที่สุด เพื่อกำหนดนัดหมายกินฟ้าทะลายโจรให้พร้อมกัน โดยทางมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจะเป็นตัวกลางนำฟ้าทะลายโจรที่ได้รับการบริจาคไปมอบให้ในกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสและต้องการความช่วยเหลือ

6.คลัสเตอร์ใดมีความพร้อมที่จะประกาศนัดหมายกินฟ้าทะลายโจรพร้อมกันขอให้ได้โปรดแจ้งนัดวันให้คลัสเตอร์ใกล้เคียงกันเพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด

ถ้าท่านผู้ชมเห็นด้วยและสนใจเข้าโครงการ สามารถติดต่อได้ภายใน 30 วันแรกนี้ ที่ Call Center ของพอดี คอลเซนเตอร์ 02-633-5353

เราจะเตรียมความพร้อมบำบัดรวมหมู่ เพื่อพร้อมใจกัน ตัดโควิดแต่ต้นไข้ ตัดไฟแต่ต้นลม

ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ เรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องได้ความร่วมมือร่วมใจพร้อมกันให้ได้มากที่สุดในระดับประชาชาติ เท่าที่จะทำได้ ลองดูกันสักตั้งเป็นไร

ด้วยความปรารถนาดี

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต



กำลังโหลดความคิดเห็น