ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ไปว่ากันเรื่อง “เบาๆ” คือเรื่องของพวก “ฝรั่ง” ที่ไม่ค่อยชอบสวมหน้ากากอนามัย ไม่คิดจะเว้นระยะห่างมาโดยตลอด เพราะถือเป็น “เสรีภาพ” ส่วนตัว ส่วนบุคคล อะไรทำนองนั้น ซึ่งหลังๆ มานี้...คงต้องยอมรับว่าน่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นแบบพรวดๆ พราดๆ แม้ว่าการออกฤทธิ์ ออกเดช ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังแทบไม่ได้ “เหี่ยวปลาย” ลงไปสักเท่าไหร่ แต่ถ้าดูจากบรรดา “กองเชียร์” คราวละนับหมื่นๆ คน ที่เข้าไปแออัดยัดเยียดอยู่ในสนามฟุตบอลช่วง “ยูโร-2020” คราวนี้ หรือในสนามเทนนิสรายการแกรนด์สแลม “วิมเบิลดัน” ที่กำลังไล่หวด ไล่ตบ กันอยู่ในขณะนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า แต่ละคน แต่ละราย ออกอาการแบบไม่ได้คิดจะกลัว ไม่ได้คิดจะให้ความสำคัญต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ เอาเลยก็ว่าได้...
เรียกว่า...นั่งๆ-ยืนๆ แบบเบียดเสียดยัดเยียด ไม่คิดจะเว้นระยะห่างแม้แต่ช่องไฟเดียว แถมไม่ได้คิดจะสวมหน้ากาก ส่งเสียงโห่ เสียงตะโกน พ่นละอองเรณูเกสร เชียร์ทีมที่รัก ทีมที่ลุ้น คนที่รัก คนที่ลุ้น กันชนิดสนั่นหวั่นไหว คล้ายๆ กับคิดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มันได้จบสิ้นลงไปแล้ว ยุติลงไปแล้ว อะไรทำนองนั้น หรือคิดว่าตัวยาป้องกัน คุ้มกัน อย่างวัคซีนแต่ละชนิด แต่ละประเภท ที่บรรดาประเทศฝรั่งทั้งหลาย เขาเก็บกักเอาไว้ไล่ฉีด ไล่ทิ่ม ผู้คนภายในประเทศตัวเอง มันสามารถคุ้มครองป้องกันทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่จำเป็นต้องไปสนใจ ใส่ใจ อะไรต่อมิอะไรต่อไปอีกแล้ว หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ชัดเจน...
คือถ้าว่ากันตามผลสำรวจของสำนักวิจัยอเมริกัน อย่าง “Gallup Poll” คราวล่าสุด (29 มิ.ย.) ต่อบรรดาอเมริกันชนประมาณ 4,800 คน เท่าที่ได้รับการสรุปและประเมินผลออกมา เห็นว่าชาวอเมริกันกว่า 2 ใน 3 เอาเลยทีเดียว หรือเกือบ 89 เปอร์เซ็นต์ ที่เริ่มรู้สึกว่า ช่วงระยะเวลาแห่งการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้จบสิ้นลงไปแล้ว อาจเพราะรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ เขาได้เก็บกักวัคซีนเอาไว้ไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ผู้คนภายในประเทศตัวเอง จนไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่จำเป็นต้องเกรงเชื้อไวรัสตัวนี้ไปแล้วก็เป็นได้ ทั้งๆ ที่โดยการวิเคราะห์ การวิจัย ของบรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ต่างก็ยังยืนยัน นั่งยัน ว่าบรรดาวัคซีนในแต่ละประเภท ไม่ได้ช่วยให้เกิดการไม่ติดเชื้อ ไม่แพร่เชื้อ แต่อย่างใด เพียงแต่อาจไม่ถึงกับป่วยตาย ไม่ถึงกับต้องหงายท้องตึง หลับกลางอากาศ รวดเร็วเกินไปนัก...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...บรรดา “แฟนบอลชาวฟินแลนด์” ที่แห่ไปเชียร์บอลยูโร-2020 ที่ประเทศรัสเซีย ก่อนที่ทีมตัวเองจะตกรอบจึงได้ถูกระบุโดยหน่วยงานของทางการ คือสถาบัน “Finland’s Institute for Health and Welfare” ว่าได้กลายเป็นผู้ “ติดเชื้อ” ไปแล้วถึง 300 คน แถมยังเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ “เดลต้า” จากแถบอินตะระเดียซะอีกต่างหาก อันเป็นอะไรที่แพร่ได้เร็วมาก และวัคซีนบางประเภทอาจ “เอาไม่อยู่” เอาเลยก็ไม่แน่!!! คือจากตัวเลข สถิติ จำนวนผู้ติดเชื้อที่เคยลดๆ ลงเหลือแค่อาทิตย์ละไม่ถึง 1,000 ราย จนเหลือแค่ 71 รายภายในช่วงระยะเวลา 10 วัน อันเนื่องมาจากการไล่ฉีด ไล่ทิ่ม ไล่จิ้มวัคซีนให้กับประชาชนพลเมืองไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แต่เพียงแค่เข้าไปกู่ก้องร้องตะโกน อยู่ในสนามฟุตบอลกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น บรรดาแฟนบอลทั้งหลายดันกลายเป็น “คลัสเตอร์” ของสังคมฟินแลนด์กันไปซะแล้ว...
ส่วนประเทศอังกฤษ...ที่ทีมบอลของตัวเองมาแรงแซงโค้ง ชนะทีมไส้กรอกเยอรมันคาบ้าน และกำลังจะโคจรไปเจอยูเครนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เห็นว่ากะจะ “เปิดฟรีบาร์” หรือกะจะเปิดให้บรรดา “ฮูลิแกนอังกฤษ” เข้าไปเชียร์ในสนาม แบบไม่คิดจะจำกัดจำนวนใดๆ อีกต่อไป ไม่ว่ารอบรองชนะเลิศ หรือชิงชนะเลิศ หรือไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก ไม่ต้องเว้นระยะห่าง สามารถเข้าไปกู่ก้องร้องตะโกน ในสนามกีฬาแบบเต็มความจุประมาณ 60,000-70,000 คน ได้โดยอิสระและเสรี แม้ว่าทุกวันนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมภายในประเทศผู้ดี จะสูงถึง 4.76 ล้านคน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วประมาณ 128,000 คน อีกทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน ก็ไม่ได้ลดๆ ลงไปอย่างมีนัยสำคัญ แถมยังเพิ่มขึ้นๆ คือจากประมาณวันละ 11,625 ราย เมื่อช่วงวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา มาถึง ณ ขณะนี้...เห็นว่าปาเข้าไปวันละ 16,000 ราย เป็นอย่างน้อย...
ส่วนฝรั่งเศสนั้น...อาจ “โชคดีที่ตกรอบ” ไปซะก่อน คือดันไปแพ้สวิตเซอร์แลนด์ เพราะ “เอ็มบัปเป้” เกิดเป๋ไป-เป๋มา ยิงลูกโทษไม่เข้า เพราะถ้าหากว่ากันตามคำพูด คำให้สัมภาษณ์ ของประธานสภาวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส “นายJean-Francois Delfraissy” ที่ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา แนวโน้มที่ประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศ จะต้องเผชิญกับ “การระบาดระลอก 4” ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ จำนวนสถิติ “ผู้ติดเชื้อ” ที่เคยพุ่งโด่เด่เมื่อช่วงกันยายนปีที่แล้ว ไปถึงวันละ 58,665 ราย และสามารถลดระดับลงมาเหลือแค่วันละไม่กี่พันคนเท่านั้นเอง อาจหวนกลับคืนมาใหม่ได้ไม่ยาก เพราะเชื้อที่ทำท่าว่ากำลังจะระบาดก็คือสายพันธุ์ “เดลต้า” จากอินตะระเดียนั่นเอง ที่เล่นเอาหลายประเทศ ไม่ว่าอังกฤษ ออสเตรเลีย ไปจนถึงอิสราเอล ฯลฯ ต้องหวนกลับมา “ตู่ เดลต้า” หรือกลับมาชักเข้า-ชักออก ยกระดับการคุมเข้มกันใหม่...
แต่เอาเป็นว่า...โดยสีสันบรรยากาศ นับจากช่วงนี้ มันคงยากส์ส์ส์ที่จะไปคุมๆ-เข้มๆ กันได้อีกต่อไป เพราะความอยากได้มาซึ่ง “เสรีภาพ” แบบเดิมๆ หรือเพราะ “ความเบื่อหน่าย” มันค่อยๆ เข้าไปแทนที่ “ความกลัว” มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งความไม่อยากจะ “อดตาย” มันชักจะเริ่มมีน้ำหนัก มีพลัง มากกว่าการ “ป่วยตาย” ไปแล้วก็ไม่แน่ ดูจาก “แนวโน้มราคาน้ำมัน” ที่ว่ากันว่าน่าจะกลับไปอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในไม่เกินปีหน้า ก็อาจถือเป็นภาพสะท้อนได้ว่า ความพยายามหวนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ หรือจะ “ปกติแบบใหม่” (New Normal) ก็แล้วแต่ คงเป็นสิ่งที่ยากจะฝืน ยากที่จะควบคุม บังคับ ได้อีกต่อไป...
แม้แต่ “บ้านเรา” ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาช่วงนี้ก็เถอะ!!!...ถึงจะ “ติดเชื้อ” กันละเป็นพันๆ คน เฉลี่ย 4 พัน 5 พัน อย่างไม่คิดจะ “หัวตก” เอาเลยแม้แต่น้อย แต่การคิดจะเปิดร้าน ขายอาหาร ขายเหล้า ขายยา กันในแบบ “กูจะเปิดมึงจะทำไม!!!” ชักเป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้งยิ่งเข้าไปทุกที เล่นเอา...แม้แต่ผู้รวบอำนาจ รวบคำสั่ง มาตรการตามกฎหมายเอาไว้ในมือถึง 30-40 ฉบับ อย่างท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” หรือ “ตู่ เดลต้า” น่าจะปวดหัวฉิบหายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ยิ่งพยายามตอบสนองความปรารถนา-ความต้องการของ “คอบอล” ด้วยการ “จัดให้” หรือด้วยการเปิดให้มีการ “ถ่ายทอดสด” บอลยูโร-2020 อย่างชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง แม้แต่คู่เดียว บรรดา “แฟนบอล” ทั้งหลายที่ชอบ “เอาอย่างฝรั่ง” หรือ “เลียนแบบฝรั่ง” อยู่แล้ว ก็ยิ่งมีแต่จะ “ของขึ้น” ยิ่งขึ้นไปเท่านั้นเอง...
ความปรารถนาและโหยหา “เสรีภาพ” โดยไม่คิดจะสวมหน้ากาก ไม่คิดเว้นระยะห่าง พร้อมที่จะแหกปากกู่ก้องร้องตะโกน ในระดับ “กูจะเปิด...มึงจะทำไม!!!” จึงอาจยิ่งส่งผลให้อะไรที่แย่ๆ อยู่แล้ว ยิ่งมีแต่แย่...กับ...แย่ หนักยิ่งขึ้นไปใหญ่ หรือไม่ อย่างไร คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด กันเอาเองก็แล้วกัน...