xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอาญายกฟ้องแก๊ง‘ศุภชัย’โกงสมาชิกสหกรณ์คลองจั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360- ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง “ศุภชัย” อดีตปธ.สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กับพวกอีกสำนวน คดีฉ้อโกงเงินสมาชิก เสียหาย 1 หมื่นล้านบาท ชี้อัยการฟ้องซ้ำ ศาลเคยพิพากษาคดีฉ้อโกงที่มีพฤติการณ์ และมูลเหตุเดียวกันไปแล้ว เมื่อปี 63

วานนี้ (30 มิ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด หมายเลขดำ อ.3339/2559 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จำกัด ตั้งแต่ปี 2551-2554 กับพวกรวม 12 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกัน ฉ้อโกงประชาชน

คดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดพวกจำเลย สรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ม.ค. 51-ธ.ค.55 พวกจำเลยร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นหรือประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้ แจ้งแก่ประชาชน ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นขั้นตอน ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ และร่วมรู้เห็นการกระทำผิดต่างๆร่วมกัน โดยเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองและผู้อื่น

โดยพวกจำเลยได้บังอาจร่วมกันจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่างสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น (ผู้ให้กู้) กับสมาชิกสมทบ (ผู้กู้) ซึ่งเป็นนิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ได้ถือหุ้นในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ จำนวน 28 ราย รวมเป็นเงินตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสิ้น 11,858,440,000 บาท โดยไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริง และร่วมกันทำการบันทึกรายการทางการเงินอันเป็นเท็จ ในการบันทึกรายการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ สมาชิกสมทบ โดยไม่มีการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษสมาชิกสมทบจริง และบันทึกจ่ายเงินให้แก่ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ โดยไม่มีการจ่ายเงินที่กู้ยืมออกจากสหกรณ์ฯ จริง ทั้งยังร่วมกันจัดทำใบสำคัญรับชำระเงินลูกหนี้ทดรองจ่ายให้แก่นายศุภชัย จำเลยที่ 1 อันเป็นเท็จ และร่วมกันจัดทำใบสำคัญจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 อันเป็นเท็จ ร่วมกันทำการบันทึกรายการเกี่ยวกับการจ่ายเงินสดให้ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ ทั้งที่ไม่มีการกู้ยืมเงิน และการจ่ายเงินจริง

โดยการทำสัญญากู้ยืมเงินเท็จดังกล่าว เพื่อปกปิดการทุจริต หรือการเบิกจ่ายเงินทดรองจ่ายที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ระเบียบของสหกรณ์ฯ หรือนำมาปรับโครงสร้างหนี้ และเพื่อตกแต่งบัญชีของสหกรณ์ฯ ให้ปรากฏเป็นเท็จว่า สหกรณ์ฯ มีผลการประกอบกิจการที่มีผลกำไรสุทธิ โดยทำให้ปรากฏในงบการเงิน และงบดุล ของสหกรณ์ฯ ด้วยการนำงบกำไรสุทธิไปแสดงในรายงานประจำปี พ.ศ.2552- พ.ศ.2555 ทั้งที่ความจริงแล้ว การดำเนินการของสหกรณ์ฯ มีผลประกอบการขาดทุนจำนวนมากตลอดมา

เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 และให้พวกจำเลยทั้งหมด ร่วมกันคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายแต่ละราย จำนวน 2,254 รายด้วย

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานว่า สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เห็นว่า จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เคยถูกฟ้อง เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ของศาลอาญา ในความผิดฉ้อโกงประชาชน เช่นเดียวกันกับคดีนี้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องเหมือนกันว่า สหกรณ์ฯ มีนายศุภชัยในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานฯ ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และยังร่วมกันบันทึกรายงานทางการเงินอันเป็นเท็จ รวมทั้งทำสัญญากู้ยืมเงินเท็จ เพื่อปกปิดการทุจริต หรือการเบิกจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของสหกรณ์ฯ ซึ่งเหตุกระทำความผิดเกิดขึ้นระหว่าง ปี 2552-2556 โดย คดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อปี 2563

ดังนั้น เมื่อฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่1คดีนี้ ซึ่งเป็นการอ้างกระทำความผิดในคราวเดียวกันกับ 2 คดี ที่ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่1 ในคดีนี้เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มีคำพิพากษาไปแล้ว โดยสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปตาม ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.39(4)

สำหรับจำเลยที่ 2-12 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลย2-12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง ศาลเห็นว่า ในส่วนของพยาน ซึ่งเป็นพนักงานของสหกรณ์ฯโจทก์ร่วมได้เบิกความเพียงโครงสร้าง และขั้นตอนการทำงานของโจทก์ร่วมเท่านั้น ขณะที่พยานกลุ่มอื่นที่โจทก์ร่วมนำมาสืบก็ไม่ได้นำสืบถึงการกระทำของ จำเลยที่ 2-12 ว่ากระทำการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2-12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฉ้อโกงประชาชนตามฟ้อง

ส่วนความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ,3 ,7 ,11 ว่า ร่วมกันเอาเงินของสหกรณ์ฯโจทก์ร่วม ไปประมาณหมื่นล้านบาทเศษ โดยใช้วิธีร่วมกันสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารของสหกรณ์ฯ แล้วนำไปเบิกโดยทุจริต และจำเลยทั้ง 4 จัดทำเอกสารทางการเงินเพื่อไม่ให้ผู้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ฯตรวจพบพิรุธ ซึ่งกระทำผิดในช่วงเดือน ม.ค.52 - พ.ค.55 ศาลเห็นว่า จำเลยทั้ง 4 ที่ถูกฟ้องนั้น ก็ได้ถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งระยะเวลาการกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นระยะเวลาที่ทับซ้อนกัน และยังบรรยายฟ้องเกี่ยวกับพฤติการณ์การตกแต่งบัญชีของสหกรณ์ฯ เพื่อปกปิดการทุจริต และนำเอาเงินของสหกรณ์ฯไป กรณีนี้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ซ้ำกัน เพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดที่ฟ้องใหม่ เป็นฐานร่วมกันลักทรัพย์เท่านั้น การกระทำความผิดคราวเดียวกันควรได้รับโทษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อศาลได้วินิจฉัยพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนไปแล้ว จึงไม่วินิจฉัยความผิดดังกล่าวให้ซ้ำซ้อนกันอีก จึงพิพากษายกฟ้อง

นายปัญญา ถาวรอัครนิล ทนายความนายศุภชัย เปิดเผยว่า ศาลยกฟ้อง เนื่องจากก่อนหน้าที่เคยมีคำพิพากษายกฟ้องในความผิดคดีฉ้อโกงไปแล้ว 2 คดี ซึ่งมีทั้งพฤติการณ์ รวมทั้งมูลเหตุและข้อเท็จจริงเดียวกัน ส่วนคดีแพ่ง ทราบว่าผู้เสียหายได้ฟ้องแพ่ง ซึ่งศาลแพ่ง ก็ให้นายศุภชัย ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ส่วนจะชดใช้เงินคืนไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใด ก็ต้องไปตรวจสอบดูอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม นายศุภชัย ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับผู้ถูกคุมขังคนอื่น แต่เรือนจำก็ดูแลเป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้นายศุภชัย หายป่วยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายศุภชัยนั้น ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาได้พิพากษายืนให้จำคุก 7 ปี ฐานยักยอกเงินสหกรณ์ฯ จำนวน 22,132,000 บาท เป็นของตนเองโดยทุจริต ไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายศุภชัย ยังคงมีคดีอาญาที่ถูกฟ้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอีกหลายสำนวน ทั้งความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการทุจริตสหกรณ์คลองจั่นฯ ด้วย

สำหรับรายชื่อจำเลยทั้งหมดคน ประกอบด้วย นายศุภชัย ศรีศุภอักษร , อดีตประธานสหกรณ์ฯ นายมณฑล กันล้อม อดีตกรรมการฯ,นายลภัส โสมคำ , นางทองพิน กันล้อม อดีตกรรมการฯ ,นายณัฐวัฒน์ ปิยพัชร์เมธี อดีต ผจก. ,นายอารีย์ แย้มบุญยิ่ง อดีต ผจก.,น.ส.ศรัณยา มานหมัด อดีตรองฯ ,น.ส.วาริศา เอกชัยจินดาวัฒน์ อดีตกรรมการ,นางจันทร์ฉาย ขันธะหัตถ์ รอง ผจก.,นายธนากร น่าบัณฑิต อดีต จนท.,นายกฤษฎา มีบุญมาก อดีต จนท.,นางวันเพ็ญ ยอดดี อดีต ผจก.ฝ่ายการเงิน และสึกออกมาทำธุรกิจหลายเมื่อปี 2554 ,ส่วนผู้เสียหาย มีจำนวน 2,254 ราย ได้มีการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกร้องให้จำเลยชดเชยค่าเสียหายแล้ว ซึ่งทางจำเลยอยู่ระหว่างดำเนินการผ่อนชำระชดใช้ค่าความเสียหาย


กำลังโหลดความคิดเห็น