xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยกับการ “สังหารหมู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โรงเรียนประจำเก่าแก่ของแคนาดา Indian Residential School System
ช่วงระหว่างนี้...ก็ยังไม่ถึงมีอะไร “ใหม่” สำหรับข่าวคราวความเคลื่อนไหว ความเป็นไปในระดับโลก โดยเฉพาะใน “แนวรบ” แต่ละด้าน ที่ต่างยังคงต้อง “ยักตื้นติดกึก-ยักลึกติดกัก” กันชนิดไม่แล้วเสร็จ ด้วยเหตุนี้...เลยน่าจะลองแวะๆ ไปดูข่าวคราวที่แม้จะไม่ใช่เรื่อง “ใหญ่” แต่ก็ไม่น่าจะ “เล็ก” มากมายสักเท่าไหร่นัก เพราะอาจถือเป็นข่าวคราวที่สามารถใช้เป็น “ภาพสะท้อน” ถึง “ความเป็นประชาธิปไตย” ตามมาตรฐานตะวันตก ที่คุณปู่-คุณทวด “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ผู้นำอเมริกา ท่านคิดนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้และเอาชนะ “ความเป็นเผด็จการ” ของมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีน-รัสเซีย-หรืออิหร่าน ได้เป็นอย่างดี...

นั่นคือข่าวคราวการค้นพบ “หลุมศพ” ประมาณสัก 3 หลุม 4 หลุม เป็นอย่างน้อย...ในประเทศประชาธิปไตยอย่างแคนาดาเมื่อช่วงเดือนพฤษภาฯ และมิถุนาฯ ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง คือที่จังหวัด “Manitoba” ในบริติชโคลัมเบียและที่ “Saskatchewan” แถวๆ ภาคตะวันตกของแคนาดา ซึ่งแต่ละหลุมเต็มไปด้วย “ศพเด็ก” นับจำนวนร้อยๆ บางหลุม 251 ศพ บางหลุมมากถึง 751 ศพ โดยที่บรรดาเด็กๆ ผู้ที่ต้องกลายเป็น “ศพ” เหล่านี้ ก็คงหนีไม่พ้นไปจากเด็กๆ ชาวพื้นเมืองแคนาดายุคอดีต ไม่ว่าจะเป็นพวกชาวอินเดียน อินูอิต พวกเมติส หรือพวกลูกผสมระหว่างฝรั่งยุโรปกับชาวพื้นเมือง อะไรทำนองนั้น ที่ว่ากันว่าถูก “สังหารหมู่” ไม่ว่าในทางร่างกาย หรือทางวัฒนธรรม มาตั้งแต่เมื่อนับร้อยๆ ปีที่แล้ว หรือนับจากรัฐบาลประชาธิปไตยแห่งประเทศแคนาดา โดย “กรมกิจการอินเดียน” (Canadian Government’s Department of Indian Affairs) เขาได้พยายามบังคับ ขู่เข็ญ และคุกคาม ให้บรรดาเด็กชาวพื้นเมืองแคนาดาทั้งหลายเหล่านี้ เข้าไปแออัดยัดเยียดอยู่ภายใต้ระบบโรงเรียนประจำหรือ “Indian Residential School System” เพื่อหวังจะเปลี่ยนบรรดาเด็กๆ เหล่านี้ ให้กลายเป็นคล้ายๆ พวก “เด็กฝรั่ง” อะไรทำนองนั้น...

คือเป็นเด็กที่หันมานับถือศาสนาคริสต์แบบคาทอลิก หันมาพูดจาภาษาอังกฤษ ไม่ก็ฝรั่งเศส ห้ามพูดจาภาษาพื้นเมืองของตัวเองอีกต่อไปโดยเด็ดขาด ห้ามนับถือ-ศรัทธา อะไรต่อมิอะไรก็ตาม ที่เคยเป็น “วัฒนธรรม” ดั้งเดิมของตนเอง ห้ามเจอพ่อ-เจอแม่ เจอครอบครัวดั้งเดิมของตัวเอง ฯลฯ โดยหวังว่าการบังคับ ขู่เข็ญ และคุกคามเหล่านี้ อาจทำให้พวกเด็กๆ เกิดการซึมซับ (Assimilation) เอาค่านิยมอย่างฝรั่ง ประเพณีแบบฝรั่ง ความเชื่อ-ความศรัทธาแบบฝรั่ง หรืออาจรวมไปถึง “ประชาธิปไตยแบบฝรั่ง” จนไม่คิดจะอยากเป็น “ชนพื้นเมืองแคนาดา” อีกต่อไปแล้ว...

ด้วยการบังคับ ขู่เข็ญ และคุกคามเช่นนี้นี่เอง...ว่ากันว่าในช่วงระหว่างนั้น บรรดาเด็กๆ ชาวพื้นเมืองที่ถูกพรากจากพ่อ-จากแม่ จากปู่-ย่า-ตา-ยาย และจากวัฒนธรรมของตัวเอง ให้เข้ามารวมกันอยู่ในระบบโรงเรียน “Indian resident school” ในแคนาดาจำนวนไม่น้อยกว่า 150,000 คนขึ้นไป หลายต่อหลายรายต้องถูกทำโทษ ทำร้ายร่างกาย ถูกลงทัณฑ์ทรมาน ไปจนถึงล่วงละเมิดทางเพศต่อพวกเด็กๆ จนเกิดการล้มตาย สูญหาย ไม่น้อยไปกว่า 3,200-30,000 คน ซึ่งในจำนวนนั้นก็คงได้แก่ศพแต่ละศพ ที่ถูกฝังไว้ในหลุม ณ จังหวัด “Manitoba” หรือ “Saskatchewan” นั่นเอง ส่วนที่ยังเหลือรอด...ว่ากันว่าโดยส่วนใหญ่ออกจะหนักไปทาง “เสียผู้-เสียคน” ซะเป็นหลัก คือกลายเป็นผู้เติบโตขึ้นมาแบบ “จิตตก” เพราะถูกบังคับ ถูกทรมานซะจนเคย กลายเป็นคนติดเหล้า เป็นผู้มีปัญหาทางจิต บางรายถึงกับ “ฆ่าตัวตาย” ดื้อๆ เอาเลยก็ยังมี อีกทั้งยังไม่อาจกลับไปอยู่สังคมเดียวกัน อยู่กับเผ่าพันธุ์เดียวกันกับตัวเองแทบไม่ได้ อันเนื่องมาจากการถูกบังคับ ขู่เข็ญ คุกคาม ให้ต้องเป็น “ฝรั่ง” มาโดยตลอด นั่นเอง...

ซึ่งว่าไปแล้ว...ลักษณะอาการเช่นนี้ คงไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเทศประชาธิปไตยอย่างแคนาดาเท่านั้น ไม่ว่าจะประชาธิปไตยอเมริกา ประชาธิปไตยอังกฤษ ประชาธิปไตยฝรั่งเศส ประชาธิปไตยเยอรมนี ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ออกมาในแนวเดียวกัน หรือคล้ายๆ กันไปแทบทั้งสิ้น คือมักต้องผ่านการ “สังหารหมู่” บรรดาชาวพื้นเมือง ที่ตัวเองไปประสบพบเห็น หรือไปแย่งบ้าน แย่งเมือง แย่งดินแดน ของบรรดาชนชาติเหล่านี้ มาเป็นของตน สำหรับประชาธิปไตยอเมริกานั้น...สังหารหมู่กันชนิดชนพื้นเมืองอินเดียนในแต่ละเผ่า แต่ละพันธุ์ ถึงขั้น “สูญพันธุ์” เอาเลยก็ยังมี ใครที่อยากจะรู้ละเอียด ตื้น-ลึก-หนา-บางกันให้ชัดๆ คงต้องขอแนะนำให้ไปหาอ่านหนังสือพ็อกเกตบุ๊กเล่มหนึ่ง ที่แปลเป็นไทยเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว คือเรื่อง “ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี” (Bury My Heart At Wounded Knee) โดยนักเขียนอเมริกัน อย่าง “ดี บราวน์” (Dee Brown) แปลโดย “ไพรัช แสนสวัสดิ์” และดูเหมือนว่าสำนักพิมพ์ “Way Magazine” เขาจะขออนุญาตนำมาพิมพ์เผยแพร่ครั้งใหม่ไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ (พร้อมกันนั้นก็พยายามหันมาเรียกร้อง “ประชาธิปแบบฝรั่ง” ควบคู่ไปด้วย)...

ส่วนประชาธิปไตยแบบอังกฤษนั้น...ต้องเรียกว่าเหี้ยมแสนเหี้ยมไม่น้อยไปกว่าอเมริกัน โดยเฉพาะช่วงการ “สังหารหมู่” ชาวอะบอริจินและแทสมาเนียในทวีปออสเตรเลีย โดยรายละเอียดตื้น-ลึก-หนา-บางเรื่องนี้ คงต้องไปหาอ่านจากข้อเขียนของศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย “UCLA” คือ “นายจาเร็ด ไดมอนด์” (Jared Diamond) ที่บางช่วง บางตอน ได้สรุปไว้ว่า... “ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. 1803 ชาวอังกฤษเปิดฉากรุกรานชาวอะบอริจินด้วยการฆ่าทิ้ง ลักพาตัว หรือไม่ก็นำมาเป็นทาสรับใช้ ยุคนั้นเจ้าหน้าที่เครือจักรภพอังกฤษแทบไม่ได้เคยคิดเลยว่า ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก็เป็นคนเหมือนกัน ชาวอะบอริจินและแทสมาเนีย จึงถูกปฏิบัติอย่างเหี้ยมโหด กลวิธีในการฆ่านั้นป่าเถื่อนอย่างผิดมนุษย์ มีตั้งแต่การขี่ม้าไล่ยิง ใช้กับดักเหล็กไปวางไว้ในป่า วางยาพิษในอาหารแล้วนำไปวางล่อ ถ้าจับตัวเป็นๆ ได้ พวกผู้ชายจะถูกตัดอวัยวะเพศ แล้วปล่อยให้วิ่งไปตายด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้หญิงก็จับมาข่มขืนแล้วทุบหัวทิ้ง บางครั้งก็นำศพมาเป็นอาหารเลี้ยงสุนัข การสังหารหมู่คราวละ 20-30 คน ถือเป็นเรื่องปกติ...”

นี่...อะไรจะชั่งผู้ดีอังกฤษเท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว ส่วนประชาธิปไตยเยอรมนีนั้น เห็นว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือเมื่อช่วงเดือนพฤษภาฯ ที่ผ่านมานี่เอง ก็ต้องหันไปขอโทษบรรดาชาวพื้นเมือง “นามิเบีย” ต่อการ “สังหารหมู่” ระดับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เอาเลยถึงขั้นนั้น ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1884-1915 โดยรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี “นายไฮโก มาส” (Heiko Maas) ได้ออกมายอมรับถึงการกระทำดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยอาจจะดูดีอยู่บ้างเล็กน้อย ที่ยังพร้อมประกาศว่าจะช่วยเหลือเยียวยาสิ่งที่บรรพบุรุษตัวเองได้กระทำการเอาไว้ ด้วยการอุดหนุนงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศนามิเบีย ตลอด 30 ปีข้างหน้า เป็นจำนวนเงินมูลค่าประมาณ 1,100 ล้านยูโร หรือ 4,200 ล้านบาท ต่างไปจากผู้นำแคนาดาคนปัจจุบัน อย่าง “นายจัสติน ทรูโด” (Justin Trudeau) ที่แค่ออกมาทำ “เสียงหล่อ” ขอโทษ ขอโพย ชาวพื้นเมืองแคนาดาไปตามบท ตามสคริปต์ ก่อนหันมาประณามประเทศ “เผด็จการ” อย่างจีนและรัสเซีย ไม่ว่ากรณีการใช้แรงงานชาวอุยกูร์ หรือการสังหารสปาย สายลับชาวรัสเซีย แบบชนิดพร้อมเอาดีใส่ตัว-เอาชั่วใส่ผู้อื่น อะไรประมาณนั้น...

คือโดยสรุปรวมๆ แล้ว...คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” หรือ “สิทธิมนุษยชนตะวันตก” มันออกจะนำมาใช้เป็น “มาตรฐาน” ใดๆ แทบไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากเป็น “มาตรฐานทางศีลธรรม” ยิ่งแล้วใหญ่!!! เพราะโดยรากฐาน ที่มา-ที่ไป ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต วิญญาณ ของบรรดาผู้ที่ถูกกระทำย่ำยีอย่างชนิดหนักหนา-สาหัสมาโดยตลอด ไม่ว่าอดีต-ปัจจุบัน-หรือแม้แต่อนาคตเบื้องหน้าก็ตามที ดังนั้น...แม้จะมีความพยายามปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะโดยวิธี “The Great Reset” หรือ “Build Back Better” ก็ตามที แต่ตราบใดก็ตาม...ที่หากยังไม่ได้มี “มาตฐานทางศีลธรรม” มาเป็นตัวรองรับ กำกับ เอาไว้ในทุกช่วง ทุกระยะ ทุกย่างก้าว เป็น “ระเบียบ” และ “ระบบ” ที่แต่ละประเทศมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่ ประเทศเล็ก ประเทศรวย ประเทศจน ประเทศเข้มแข็ง หรืออ่อนแอ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้...ก็คงเป็นได้แค่ “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์” หรือ “วัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์” แม้ว่าผู้นำอเมริกัน อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านไม่อยากให้เป็นไปเช่นนั้น ก็ตามที...


กำลังโหลดความคิดเห็น