“คนจนไม่ทำอะไร เอาแต่รอขอให้คนอื่นมาบรรเทาความยากจนให้ พฤติกรรมเยี่ยงนี้อธิบายให้เห็นภาพ ด้วยคำพูดที่ว่า คนขี้เกียจยืนพิงกำแพง เพลิดเพลินกับแสงแดด และรอให้คนอื่นนำสังคมที่รุ่งเรืองมาให้”
เราจะต้องกระตุ้นให้เขาเกิดความกระตือรือร้น และปล่อยให้เขาแสดงความสามารถในทางสร้างสรรค์ เราควรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ จนกระทั่งเขาหางานทำได้ หรือประกอบธุรกิจได้ การกระตุ้นให้เขาเกิดความต้องการ ที่จะนำตนเองให้พ้นความยากจน และทำงานหนัก เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น สิ่งที่เราต้องพัฒนาก็คือ ความสามารถพัฒนาตนเองของพวกเขา นี่คือถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งผู้เขียนได้แปลจากหนังสือ Xi Jinping the Governance of china
จากนัยแห่งถ้อยแถลงข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้นำจีน ซึ่งปกครองประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน และมีความหลากหลายชาติพันธุ์ ทั้งในอดีตประเทศจีนมีคนยากจนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวนา
แต่ในปัจจุบัน ภายใต้การนำของผู้นำที่เข้มแข็ง และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมีความโปร่งใสในการดำเนินงาน ทำให้จำนวนคนจนลดน้อยลง ทั้งทำให้ประเทศจีนก้าวหน้าในทุกด้าน
หันมาดูประเทศไทย ซึ่งมีประชากรเพียง 70 กว่าล้านคน และเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม สามารถผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงชาวโลกได้ แต่เกษตรกรไทยวันนี้ยากจนมีหนี้สินกันถ้วนหน้า
อีกประการหนึ่ง ประเทศไทยเป็นดินแดนพุทธศาสนาตั้งมั่น และเจริญรุ่งเรืองควบคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ประชากรของประเทศไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธ และศาสนาพุทธได้สอนวิธีการดำรงชีวิต ทั้งในส่วนของนักบวช และผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับคฤหัสถ์ ถ้ามีการศึกษาค้นคว้า และนำมาเป็นแนวทางแก้ความยากจนได้แน่นอน ดังจะเห็นได้จากคำสอน ซึ่งจะนำมาเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. สอนให้ทุกคนพึ่งตนเอง ก่อนพึ่งคนอื่น อตฺตาหิ อฺตตโน นาโถ ปโร สิยา แปลโดยใจความว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีที่พึ่งอื่นให้พึ่งได้ดีกว่าตนเอง
2. สอนให้ขยันทำมาหากิน และอยู่อย่างประหยัด ผู้ครองเรือนพึงดูการทำงานของผึ้งที่บินหาน้ำหวานจากดอกไม้แม้ทีละน้อย ก็สามารถเก็บสะสมเต็มรวงได้ และในขณะเดียวกัน ให้ดูการใช้ยาหยอดตา แม้ใช้ทีละหยดก็หมดขวดได้
3. สอนให้บริหารจัดการทรัพย์สินที่หามาได้ โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนเท่ากันหรือส่วนละ 25% ของทั้งหมดที่หามาได้แต่ละครั้งดังนี้
1. หนึ่งส่วนหรือ 25% ใช้เพื่อตนเอง และคนในครอบครัว ซึ่งตนเองต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดู รวมไปถึงการสงเคราะห์ผู้ที่ตนเองควรสงเคราะห์
2. สองส่วนหรือ 50% ใช้เพื่อการลงทุนในการประกอบอาชีพ
3. ส่วนที่เหลือหรือส่วนที่ 4 เก็บออมเพื่อใช้ในคราวจำเป็น
ส่วนผู้ปกครองประเทศในการแก้ปัญหาสังคม ซึ่งมีเหตุมาจากความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาอาชญากรรม โดยการให้ความช่วยเหลือการเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ซึ่งปรากฏในกูฎทันตสูตร ตอนที่ว่าด้วยคำแนะนำของปุโรหิตที่ทูลถวายแก่พระราชาดังนี้
ให้ปราบโจรผู้ร้ายก่อน แต่อย่าปราบด้วยการฆ่าหรือจองจำ เพราะพวกที่เหลือจะเบียดเบียนชนบทในภายหลัง โดยให้แก้ด้วยการถอนรากของโจร ด้วยการให้คือให้พืชแก่กสิกรในชนบทที่มีความอุตสาหะในการประกอบอาชีพให้ทุนแก่พ่อค้าที่อุตสาหะในการค้า ให้อาหาร และค่าจ้างแก่ข้าราชการ พระราชทรัพย์ก็จะเพิ่มพูน มนุษย์ทั้งหลายก็จะรื่นเริง อุ้มบุตรให้ป้อนอยู่ที่อก ไม่ต้องปิดประตูบ้านเรือน ทั้งจากคำพูดของผู้นำจีน และคำสอนของพุทธ จะเห็นได้ว่า เน้นการแก้ปัญหาความจนด้วยการให้การช่วยเหลือแก่คนจนที่มีความขยันทำงาน พึ่งตนเอง ไม่นั่งรอการช่วยเหลือจากคนอื่นเพียงอย่างเดียว
แต่ในประเทศไทยนับตั้งแต่รัฐบาลทักษิณเป็นต้นมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน แก้ปัญหาความจนด้วยการให้และไม่มีการแยกแยะคนขี้เกียจ และคนขยัน เรียกได้ว่าให้โดยไม่มีการกำหนดคุณสมบัติผู้รับ ทั้งนี้เพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าที่จะแก้ปัญหาให้เกิดผลอย่างจริงจัง แต่เมื่อใดไม่มีเงินแจก คนจนก็จะจนเหมือนเดิม และจะออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล