ผู้จัดการรายวัน360-“อนุทิน”สั่งการขึ้นทะเบียนกัญชาพันธุ์ไทย 4 สายพันธุ์ เป็นมรดกชาติ เพื่อสร้างประโยชน์ตามนโยบายกัญชาเสรี คาดแล้วเสร็จเดือน ส.ค.นี้ พร้อมสั่งเร่งศึกษานำสารสกัดรากกัญชา รักษาเนื้อเยื่อปอด ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มอบ อย.-กรมแพทย์แผนไทย หาช่องทางตอบแทนวิสาหกิจชุมชน ที่นำช่อ ดอก มาคืนรัฐ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยในการเป็นประธานในพิธีตัดช่อดอกกัญชาพันธุ์ไทย 4 พันธุ์ ที่อาคารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า ปัจจุบันได้มีการเก็บรวบรวมสายพันธุ์กัญชาสายพันธุ์ไทย ตามนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ถึง 4 สายพันธุ์ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานาน ได้แก่ หางกระรอกภูพานเอสที 1 , หางเสือสกลนคร ทีที 1 , ตะนาวศรีก้านขาวดับเบิ้ลยูเอ 1 และตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1 ที่มีสาร THC และ CBD ที่ต่างกันไป โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้นำมาวิจัยพัฒนาทดลองปลูกในโรงเรือน ซึ่งขออนุญาตปลูกถูกต้อง และจะพัฒนาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ ในการพัฒนากัญชาพันธุ์ไทย จะนำพันธุ์ที่ได้ไปขยายให้กับเครือข่ายวิจัยที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่ มทร.อีสาน วิทยาเขตสกลนคร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สกลนคร เพื่อเป็นแหล่งเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร นำไปใช้ต่อยอดทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ พัฒนาส่งเสริมเกษตรกรให้มีศักยภาพในการพัฒนากัญชาสายพันธุ์ไทยแข่งขันในตลาดโลก ลดการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อขึ้นทะเบียนกัญชาพันธุ์ไทยทั้ง 4 พันธุ์ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนส.ค.2564 เพื่อให้เป็นมรดกของชาติ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และสามารถสร้างประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์”นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำลังมีการสกัดรากกัญชา ที่พบว่าอาจมีผลในการช่วยรักษาเนื้อเยื่อของปอด ซึ่งตรงเวลาพอดีกับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แม้หายแล้ว ก็อาจจะสูญเสียเนื้อเยื่อปอดที่ถูกทำลายไปขณะที่ติดเชื้อ ถ้าสามารถพัฒนาวิจัยศึกษาว่าส่วนใดของกัญชาสามารถไปรักษาความเสียหายหรือฟื้นฟู ชิ้นส่วนหรืออวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์ได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลในวงการแพทย์ โดยได้ขอให้ทำการทดลองวิจัยตัวรากกัญชาให้จริงจังและเร็วที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนที่มีการปลูกกัญชา ในส่วนของราก ใบ ลำต้น สามารถเอาไปทำรายได้ได้ แต่ช่อ ดอก ต้องเอาให้ทางราชการ เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนจากการได้ปลูก แต่ได้ให้นโยบายกับสำนักงานคณะกรรมกามรอาหารและยา (อย.) และกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ในการหาวิธีที่สามารถมีผลตอบแทน ซึ่งไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ให้ชาวบ้านไปขายได้อย่างอิสระเสรี แต่ถ้าผู้ซื้อ เช่น หน่วยงานราชการที่วิสาหกิจชุมชนนำช่อดอกมาขาย ส่วนที่มาสกัดสารสำคัญได้ ทำอย่างไรที่จะมีผลตอบแทนให้เขา อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือสารสกัด เพื่อให้นำไปต่อยอดต่อไป จะทำให้เพิ่มช่องทางในการเสริมสร้างรายได้ รัฐจะไปเอาช่อดอกซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าที่สุดและนำส่วนที่เหลือให้ชาวบ้าน ก็ดูจะไม่ค่อยแฟร์ ก็ต้องหาวิธีการเพื่อให้เกิดมรรคผลโดยเร็ว
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร ได้ศึกษากัญชาพันธุ์ไทยครอบคลุมทั้งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ด้านเคมี และข้อมูลสายพันธุกรรม พบว่า กัญชาพันธุ์ไทยมีลักษณะเด่นถึง 3 แบบ คือ แบบที่ 1 กัญชาให้สาร THC สูง ได้แก่ พันธุ์หางเสือสกลนคร ทีที 1 และพันธุ์ตะนาวศรีก้านขาวดับเบิ้ลยูเอ 1 แบบที่ 2 ให้สาร THC และ CBD สัดส่วน 1 ต่อ 1 ได้แก่ พันธุ์หางกระรอกภูพานเอสที 1 แบบที่ 3 ให้สาร CBD สูง ได้แก่ พันธุ์ตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1
“กัญชาไทยแต่ละพันธุ์ มีลักษณะของต้น ใบ ช่อดอก และกลิ่นต่างกัน และจากการถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่า ทั้ง 4 สายพันธุ์ พบได้เฉพาะถิ่นเท่านั้น ไม่ได้พบทั่วไป จึงเป็นพันธุ์หายาก ซึ่งกัญชาพันธุ์ไทยมีสารสำคัญในสัดส่วนที่ต่างกัน จึงมีการนำไปใช้ประโยชน์ข้อบ่งชี้ของโรคที่ต่างกัน รวมถึงการได้สาระสำคัญคงที่ในการปลูก ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์”นพ.ศุภกิจกล่าว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยในการเป็นประธานในพิธีตัดช่อดอกกัญชาพันธุ์ไทย 4 พันธุ์ ที่อาคารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า ปัจจุบันได้มีการเก็บรวบรวมสายพันธุ์กัญชาสายพันธุ์ไทย ตามนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ถึง 4 สายพันธุ์ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาเป็นเวลานาน ได้แก่ หางกระรอกภูพานเอสที 1 , หางเสือสกลนคร ทีที 1 , ตะนาวศรีก้านขาวดับเบิ้ลยูเอ 1 และตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1 ที่มีสาร THC และ CBD ที่ต่างกันไป โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้นำมาวิจัยพัฒนาทดลองปลูกในโรงเรือน ซึ่งขออนุญาตปลูกถูกต้อง และจะพัฒนาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ ในการพัฒนากัญชาพันธุ์ไทย จะนำพันธุ์ที่ได้ไปขยายให้กับเครือข่ายวิจัยที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่ มทร.อีสาน วิทยาเขตสกลนคร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สกลนคร เพื่อเป็นแหล่งเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร นำไปใช้ต่อยอดทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ พัฒนาส่งเสริมเกษตรกรให้มีศักยภาพในการพัฒนากัญชาสายพันธุ์ไทยแข่งขันในตลาดโลก ลดการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อขึ้นทะเบียนกัญชาพันธุ์ไทยทั้ง 4 พันธุ์ คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนส.ค.2564 เพื่อให้เป็นมรดกของชาติ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และสามารถสร้างประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์”นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กำลังมีการสกัดรากกัญชา ที่พบว่าอาจมีผลในการช่วยรักษาเนื้อเยื่อของปอด ซึ่งตรงเวลาพอดีกับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แม้หายแล้ว ก็อาจจะสูญเสียเนื้อเยื่อปอดที่ถูกทำลายไปขณะที่ติดเชื้อ ถ้าสามารถพัฒนาวิจัยศึกษาว่าส่วนใดของกัญชาสามารถไปรักษาความเสียหายหรือฟื้นฟู ชิ้นส่วนหรืออวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์ได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลในวงการแพทย์ โดยได้ขอให้ทำการทดลองวิจัยตัวรากกัญชาให้จริงจังและเร็วที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนที่มีการปลูกกัญชา ในส่วนของราก ใบ ลำต้น สามารถเอาไปทำรายได้ได้ แต่ช่อ ดอก ต้องเอาให้ทางราชการ เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนจากการได้ปลูก แต่ได้ให้นโยบายกับสำนักงานคณะกรรมกามรอาหารและยา (อย.) และกรมแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ในการหาวิธีที่สามารถมีผลตอบแทน ซึ่งไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ให้ชาวบ้านไปขายได้อย่างอิสระเสรี แต่ถ้าผู้ซื้อ เช่น หน่วยงานราชการที่วิสาหกิจชุมชนนำช่อดอกมาขาย ส่วนที่มาสกัดสารสำคัญได้ ทำอย่างไรที่จะมีผลตอบแทนให้เขา อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือสารสกัด เพื่อให้นำไปต่อยอดต่อไป จะทำให้เพิ่มช่องทางในการเสริมสร้างรายได้ รัฐจะไปเอาช่อดอกซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าที่สุดและนำส่วนที่เหลือให้ชาวบ้าน ก็ดูจะไม่ค่อยแฟร์ ก็ต้องหาวิธีการเพื่อให้เกิดมรรคผลโดยเร็ว
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร ได้ศึกษากัญชาพันธุ์ไทยครอบคลุมทั้งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ด้านเคมี และข้อมูลสายพันธุกรรม พบว่า กัญชาพันธุ์ไทยมีลักษณะเด่นถึง 3 แบบ คือ แบบที่ 1 กัญชาให้สาร THC สูง ได้แก่ พันธุ์หางเสือสกลนคร ทีที 1 และพันธุ์ตะนาวศรีก้านขาวดับเบิ้ลยูเอ 1 แบบที่ 2 ให้สาร THC และ CBD สัดส่วน 1 ต่อ 1 ได้แก่ พันธุ์หางกระรอกภูพานเอสที 1 แบบที่ 3 ให้สาร CBD สูง ได้แก่ พันธุ์ตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1
“กัญชาไทยแต่ละพันธุ์ มีลักษณะของต้น ใบ ช่อดอก และกลิ่นต่างกัน และจากการถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่า ทั้ง 4 สายพันธุ์ พบได้เฉพาะถิ่นเท่านั้น ไม่ได้พบทั่วไป จึงเป็นพันธุ์หายาก ซึ่งกัญชาพันธุ์ไทยมีสารสำคัญในสัดส่วนที่ต่างกัน จึงมีการนำไปใช้ประโยชน์ข้อบ่งชี้ของโรคที่ต่างกัน รวมถึงการได้สาระสำคัญคงที่ในการปลูก ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์”นพ.ศุภกิจกล่าว