สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาล 3 ลุงถูกฝ่ายค้านถล่มเละในสภาฯ กล่าวหาสารพัดถึงความล้มเหลวด้านต่างๆ หลังจากกุมอำนาจประเทศแนวเลือกตั้งผสมเผด็จการมานานกว่า 7 ปี เป็นคำกล่าวหาร้ายแรง ดูหมิ่นแทบไม่เหลือราคา คุณงามความดีอะไร
แต่ก็แปลก ส.ส.ฝ่ายกองเชียร์รัฐบาลไม่ได้ลุกขึ้นประท้วงประปรายอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนครั้งก่อนๆ เป็นเพราะเหตุอันใดก็ยากเกินกว่าที่จะเดา หรือถ้าจะมองอย่างง่ายๆ ก็คือ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคร่วมเห็นด้วย หรือรู้สึกอายแทน
โดยเฉพาะระบอบ 3 ลุง ซึ่งโดนหนัก เป็นตัววิกฤตของชาติ หยั่งรากลงลึก ถ้าปล่อยไว้นานไป ประเทศไทยจะล้าหลังเพราะพวกนี้ก้าวไม่ทันโลก ทำให้ไทยตกต่ำ ดักดานกว่าเพื่อนบ้าน เพราะความลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ ไม่อิ่มในผลประโยชน์
อยู่ไปนานๆ คงนึกว่าตัวเองเป็นเทวดามาเดินดิน ใครค้านไม่ได้!
หลังจากสภาฯ โหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ คณะ 3 ลุงนึกว่าจะไม่มีอะไร ที่ไหนได้ ดันมี ครป.หรือคณะกรรมรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยยกทีมมาชำแหละ ถลกหนังให้เห็นระบอบความชั่วร้ายของระบอบ 3 ลุง ซึ่งผยองลำพองในอำนาจ
ร่ายยาวเสร็จแล้ว ไม่เห็นมีบรรดาโฆษกรัฐบาล หรือขบวนการไอโอ กองเชียร์ออกมาแก้ต่างข้อกล่าวหา นั่นก็คงเป็นเพราะเห็นด้วยกับคำประณาม ใครก็ตามที่ยังมีจิตสำนึกกระจ่างด้านความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ย่อมมองว่าเป็นการปฏิเสธยาก
เพราะสภาวะที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองล้วนเสื่อมโทรม ล้าหลังทุกด้าน มีอย่างเดียวคือความโอหังของคณะ 3 ลุง ที่เชื่อมั่นว่าจะยังกุมอำนาจอยู่ต่อได้อีกนาน
โดนถล่มทั้งในสภาฯ และโดยนักวิชาการ ครป.ถ้าคนมียางอาย จิตสำนึกด้านดีหลงเหลืออยู่คงนอนไม่หลับ คิดไม่ตกว่าจะลาออกวันไหน แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ความด้านหนา เสพติดอำนาจ มัวเมาอยู่กับผลประโยชน์ ที่บริวารจัดให้ ต้องด้านทนอยู่
มาดูว่าข้อกล่าวหาส่วนหนึ่งของนักวิชาการ ครป.ว่าอย่างไรบ้าง!
“รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใช้โครงสร้างอำนาจของ ส.ว.สืบทอดอำนาจตนเองเหมือนกับในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2521 ซึ่งทำให้การเมืองไทยย้อนหลังกลับไป 40 ปี กลายเป็นการเมืองย้อนยุค ที่ให้อำนาจ ส.ว.กำหนดอำนาจการบริหารประเทศ
ปัจจุบัน ระบอบ 3 ป. ถือเป็นระบบการเมืองแบบคณาธิปไตยในทางสากล ที่คอยชี้นำและกำหนดอนาคตประเทศ รูปแบบเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กวาดเอาความปรารถนาของสังคมไป ให้เหลือเพียงความปรารถนาของ 3 ป.เท่านั้น
พรรคพลังประชารัฐก็กลายเป็นพรรคที่บริหารสไตล์มาเฟีย ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด มีระบบอุปถัมภ์ภายในพรรคการเมือง การบริหารโดยกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี
ระบอบประยุทธ์ร้ายแรงกว่าระบอบทักษิณ และสร้าง “เผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ” ขึ้นมา ไม่มีกลไกตรวจสอบอำนาจ และปิดปากประชาชนแม้แต่ในการเสนอกฎหมายของตนเอง และร้ายแรงที่สุดคือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ไม่ประสงค์ให้มีการแก้ไขเหมือนกับที่แถลงนโยบาย
รัฐบาลทำตัวเหมือนเรือขวางคลองสุเอซ ขัดขวางกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกรูปแบบ จนเกิดการเมืองต่างขั้วแบบใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น และการเมืองแบ่งขั้วที่ทำลายความเป็นมนุษย์มากขึ้น สร้างความแตกแยกในสังคมร้าวลึกลงถึงระดับครอบครัว บริหารบ้านเมืองให้แตกแยกขัดแย้งหนักขึ้นโดยการปราบปรามคนที่เห็นต่างและไม่ให้ประกันตัว
พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ใช้อารมณ์แทนเหตุผลในการบริหารประเทศ ทำราวกับนักข่าวเป็นคนใช้ภายในบ้าน ไปสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ถือว่าสนับสนุนอาชญากรสงคราม สะท้อนจิตสำนึกเดียวกันคือจิตสำนึกเผด็จการ
ไม่คำนึงถึงความเป็นมนุษยธรรม ท้าทายดูถูกประชาชน คืบคลานไปสู่การเมืองแห่งความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน และนำไปสู่การเมืองแห่งความสิ้นหวัง ถ้าจะสร้างการเมืองแห่งความหวัง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกไป ก่อนการเมืองไทยจะจมลงสู่เหวลึกใต้ทะเล...”
ดูสภาพแล้ว ความเลวร้ายของระบอบ 3 ลุงจะยังคงมีอยู่ต่อไปเพราะไม่มีอำนาจอะไรไปจัดการได้ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นใจ ฝ่ายค้านก็ไร้พลัง ทั้งยังมีการระบาดของโควิด-19 อวยให้มีสภาวะฉุกเฉินรวบอำนาจ คนชุมนุมขับไล่ก็ทำไม่ได้
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ใช่จะเป็นเพียงติดหล่มเท่านั้น โครงสร้างทุกด้านของประเทศที่เสื่อมโทรมมีโอกาสทรุดลงได้เพราะต้องรับภาระหนักด้านการเงิน การคลัง หนี้สินขยายตัวไม่หยุดทำให้เราใกล้จะเป็นประเทศสิ้นเนื้อประดาตัวในอีกไม่นาน
ภาคธุรกิจเอกชนที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ หรือเป็นกลุ่มใหญ่ที่อิงอำนาจการเมืองรู้ดีว่าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในกำมือของธุรกิจไม่กี่กลุ่ม นับวันจะกินประเทศจนทำให้คนอยู่ในสภาพด้อยโอกาส ยากไร้ ต้องจมอยู่กับหนี้ครัวเรือน
คณะ 3 ลุงยังทำตัวไม่รู้สึกร้อนหนาวกับสภาพที่เสื่อมทรุดของประเทศ เศรษฐกิจตายซากเรื้อรังก่อนหน้าการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทุกวันนี้ไม่มีหนทางที่ยังดีขึ้นในเร็ววัน แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือสำคัญด้านการเมืองของระบอบ 3 ลุง
ถ้า 3 ลุงยังอยู่อย่างนี้ บ้านเมืองไม่ใช่แค่ติดหล่ม แต่จะถึงขั้นล่มจมนั่นเลย!