xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองสองฝั่งความคิด เราจะอยู่กันด้วยความเกลียดชัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


ผมพูดเสมอว่าสังคมไทยนั้นแบ่งเป็นสองฝ่ายทางความคิดต่ออุดมการณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจนแล้ว และทางฝ่ายต่างเชื่อว่าความคิดของตัวเองเป็นฝ่ายถูก และความคิดของฝ่ายตรงข้ามผิด เราอยู่ในความคิดแบบนี้มาเกินศตวรรษแล้ว

ฝั่งหนึ่งเชื่อว่า นักการเมืองแบบทักษิณนั้นเป็นคนเก่งที่มีความรู้ความสามารถทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง แม้ว่าเขาจะใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ และเล่นพรรคเล่นพวก แต่ประเทศและประชาชนก็ได้ประโยชน์ด้วย หรือบอกว่าผู้บริหารประเทศที่ดีนั้นต้องมาจากประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ แม้ผู้บริหารนั้นจะทุจริตประชาชนก็สามารถไม่เลือกเขากลับมาอีก แต่ถ้าประชาชนจะเลือกเขากลับมาอีกก็ต้องยอมรับ เพราะนี่เป็นประชาธิปไตย

ฝั่งหนึ่งเชื่อว่า แม้ผู้บริหารจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม ขอให้สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนได้ ผู้บริหารถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความสามารถเท่ากับคนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ขอให้มีความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นคนดี และคนแบบนี้ควรจะเข้ามาบริหารประเทศมากกว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือแม้ว่าวิธีการเข้าสู่อำนาจของเขาจะไม่มีความชอบธรรม แต่ถ้าเขาทำประโยชน์ไม่ทุจริตคอร์รัปชันแม้จะมีความสามารถไม่มากก็ยังดีกว่าคนเก่งที่โกง

เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างอยู่ในภาวะ Cognitive Dissonance คือ การหาเหตุผลและแสดงพฤติกรรมเข้าข้างความคิดของตนเอง เมื่อต้องเผชิญกับข้อมูล หรือสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับความเชื่อและทัศนคติเดิมที่มีอยู่

ฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อว่าคนอย่างทักษิณจะเป็นคนดีได้แม้จะมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายหนึ่งไม่ชื่อว่าประยุทธ์จะเป็นคนดีได้เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือแม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็มาจากการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์

แต่ที่มากกว่านั้นก็คือ คนจำนวนหนึ่งมองว่าการแสดงออกของทักษิณหลายครั้งนั้นชัดเจนว่า เขามีความทะเยอทะยานแหละมีเป้าหมายที่มากกว่าการเป็นนายกรัฐมนตรี และคนจำนวนหนึ่งมองว่าประยุทธ์นั้นเป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถ แต่อยู่ได้เพราะมีอำนาจของรัฐพันลึก(Deep State)หนุนหลัง

แน่นอนคนจำนวนหนึ่งมองทักษิณเป็นคนดี มองประยุทธ์เป็นคนเลว และคนจำนวนหนึ่งมองประยุทธ์เป็นคนดี มองทักษิณเป็นคนเลว

ตัวเลือกที่เป็นบุคคลนั้นวันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไป เช่นทักษิณอาจจะเปลี่ยนไปเป็นธนาธร ประยุทธ์อาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นที่ตอนนี้เราอาจจะยังมองไม่เห็น แต่ดูเหมือนว่าความคิดและอุดมการณ์นี้ของคนสองฝั่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป

แน่นอนความคิดอีกฝั่งหนึ่งมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นไม่มีความจำเป็น แต่ความคิดอีกฝั่งหนึ่งมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับประเทศชาติ แล้วเชื่อว่าแม้จะมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่แสดงตัวไม่สนว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่คนที่แสดงตัวและอินกับอุดมการณ์การเมืองของสองฝั่งนั้นน่าจะมีปริมาณที่พอๆกัน

เราจึงพบเห็นคนจำนวนหนึ่งด่ารัฐบาลทุกเรื่องในโซเชียลมีเดียผ่านกระดานความคิดของตัวเองไม่ว่ารัฐบาลจะทำเรื่องใดก็ไม่ถูกต้องทำทุกอย่างผิดไปเสียหมด คนกลุ่มนี้จะคับแค้นใจว่าทำไมคนอีกฝั่งถึงยังเชียร์รัฐบาลอยู่ได้ เรามักจะเห็นเขาพูดทำนองว่า คนที่ยังเชียร์รัฐบาลแบบนี้อยู่ได้นี่ไม่รู้จะเรียกว่าโง่ขนาดไหน

คนอีกจำนวนหนึ่งก็เชียร์รัฐบาลในทุกเรื่องไม่ว่าจะทำอะไรก็ดีหมด และบอกว่าคนที่เชียร์คนที่คดโกงใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลได้โดยหวังเพียงว่า รัฐบาลจะมองประโยชน์ตอบแทนให้กับตัวเองโดยไม่สนว่าเขาจะทุจริตอย่างไรหรือแสวงหาประโยชน์จากอำนาจอย่างไรนั้น ต้องเป็นคนที่เลวมากแน่ๆ

แต่เชื่อไหมหากเราย้อนไปก่อนปี 2544 ที่เรากำลังเบื่อหน่ายกับรัฐบาลชวนเชื่องช้านั้น คนทั้งสองฝั่งต่างมีความหวังเดียวกันว่า เราจะได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนเก่งอัศวินม้าขาวที่จะมากอบกู้ประเทศ แม้เราจะพบในเวลารวดเร็วถึงลักษณะฉ้อฉลในความไม่ตรงไปตรงมาของเขาในการเอาหุ้นไปซุกกับคนใช้คนขับรถเพื่ออำพรางทางกฎหมายซึ่งเป็นลักษณะของความไม่โปร่งใส ตอนนั้นใครต่างก็เชียร์ให้เขาหลุดพ้นจากคำตัดสินของศาลกันทั้งนั้น

แต่เมื่อเขาบริหารประเทศไปลักษณะฉ้อฉลตุกติกของเขาก็ปรากฏ ปี 2544 เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ เงินของตระกูลชินวัตรและดามาพงษ์มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่พอทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 3 ปี ในปี 2547 กลับพบว่าตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143%

พอปี 2549 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยาตราทัพออกมาขับไล่ เราคงจำได้ว่าตอนนั้นทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 5 ปี ขายธุรกิจเครือชินวัตรให้สิงคโปร์ได้เงินไป 73,000 ล้าน

ใครๆ ก็ตะลึงพรึงเพริศกับตัวเลขเงินของทักษิณที่เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่อยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้าน มาเป็นกว่า 46,000 ล้านในปี 2547 และขายธุรกิจให้เทมาเส็กได้เงินถึง 73,000 กว่าล้านบาทในปี 2549

ในสงครามเสื้อสีที่คนเสื้อเหลืองออกมาในนามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เชื่อไหมว่าคนที่ออกมานั้นส่วนใหญ่ก็คือคนที่เคยสนับสนุนทักษิณมาก่อนไม่ว่าจะเป็นสนธิ ลิ้มทองกุล หรือจำลอง ศรีเมือง ฯลฯ

แต่ปฐมบทของคนชื่อทักษิณที่เขาทำไว้ได้ใจคนรากหญ้าและปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่แวดล้อมเขาด้วยผลประโยชน์ตอบแทน ปัญญาชนนักวิชาการกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ต่างยึดเอาทักษิณเป็นหมุดหมายที่จะสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์ลงได้จากความนิยมของคนรากหญ้า ออกมารวมตัวกันเป็นคนเสื้อแดงแล้วเรียกตัวเองรวมๆว่าฝ่ายประชาธิปไตย

ความคิดของคนสองฝั่งในสังคมไทยที่แบ่งข้างแบ่งสีกันก็ปะทุขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น และทำท่าว่าความคิดสองฝั่งนี้จะจำหลักและต่อสู้กันไปอีกยาวนานในสังคมไทยไม่ว่าสุดท้ายแล้วฝ่ายไหนจะแพ้ชนะก็ตาม

ความคิดของฝั่งตรงข้ามทักษิณที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั้น ถูกมองจากคนรุ่นใหม่ว่าขัดแย้งกับความคิดและวิถีชีวิตของพวกเขา ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากสมาทานกับความคิดของคนเสื้อแดงที่เรียกว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายเสรีนิยมซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขามากกว่า

คนรุ่นใหม่มองธรรมเนียมประเพณีการยึดมั่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความล้าหลัง คนรุ่นใหม่วันนี้ถูกปลุกฝังจากคนที่พวกเขาเทิดทูนว่า กระฎุมพีศักดินากำลังแทรกซึมรัฐบาลและสังคมอย่างไม่มีขอบเขต พวกเขาจึงใช้ศัพท์คอมมิวนิสต์เก่าว่า “ปลดแอก” เป็นธงนำในการเคลื่อนไหว จนกระทั่งมองคนที่เห็นต่างจากพวกเขาว่า เป็นสลิ่มที่หมายถึงการเหยียดหยามดูแคลนว่าเป็นพวกไม่มีความคิดที่ต้องถูกกำจัดให้หมดไป

ความคิดเก่าเป็นพันธนาการที่รกรุงรังธนาธรซึ่งเป็นศาสดาสอนพวกเขาว่าทำไมต้องหมอบกราบ ทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า

ความคิดแบบนี้เป็นวิถีกบฏที่สามารถดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นแนวร่วม พวกเขาคิดว่าเขาต้องมีความคิดของตัวเอง สามารถตัดสินอนาคตของประเทศนี้ด้วยมือของตัวเอง หลังพ้นวัยเด็กที่อยู่ใต้กฎเกณฑ์เคร่งครัดของพ่อแม่และโรงเรียน

จากการต่อสู้กับระบอบทักษิณเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ของฝ่ายหนึ่งกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่คนเท่าเทียมกันของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้วันนี้บานปลายมาเป็นการต่อสู้ที่แหลมคมขึ้น เมื่อฝั่งที่ไม่เอาสถาบันพระมหากษัตริย์สามารถผูกใจคนรุ่นใหม่ได้ และเขาใช้คนรุ่นใหม่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนตัวใหม่ในการท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และอำนาจรัฐที่คนอีกฝั่งหนึ่งยึดมั่น

วันนี้คนรุ่นใหม่จำนวนมากออกมาตั้งคำถามว่า ทำไมคนกลุ่มหนึ่งต้องออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ ขับไล่รัฐบาลของระบอบทักษิณ พวกเขาไม่สนใจว่าระบอบทักษิณใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลหรือไม่ แต่เขาเห็นว่าระบอบทักษิณนั้นมาจากการเลือกตั้งมาจากระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นระบอบทักษิณคือความชอบธรรมเพราะมาจากประชาชน พวกเขาไม่สนว่าแผ่นดินนี้จะถูกสร้างมาอย่างไร ทำให้ทักษิณกลับมาคึกคักอีกครั้งในนามโทนี่ วู้ดซั่ม

แน่นอนว่าฝ่ายของระบอบทักษิณที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยนั้นได้เปรียบที่เขามีคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเติบใหญ่เป็นอนาคตของประเทศ แต่คนฝั่งที่เขาต่อสู้กับความฉ้อฉลของรัฐบาลและปกป้องสถาบันที่พวกเขารักก็ไม่มีวันจะยอมง่ายๆตราบที่ยังมีลมหายใจ

เห็นได้เลยว่า เราจะอยู่กันไปด้วยความเกลียดชังไปอีกนานหรือจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะกุมชัยชนะอย่างเด็ดขาด

ติดตามผู้เขียนได้ที่  https://www.facebook.com/surawich.verawan




กำลังโหลดความคิดเห็น