ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ไม่รู้ว่าจะหนัก-จะเบา แต่คงต้องขออนุญาตชวนไปดูการประดิษฐ์คิดค้น บรรดา “อาวุธสังหาร” ที่ถูกนำมาใช้เข่นฆ่า ล้างผลาญ มวลมนุษย์ด้วยกัน ที่นับวันมันชักจะยกระดับ ชักพัฒนา ไปจนน่าตกตะลึงพรึงเพริด น่าขนพองสยองขวัญยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกๆ กันว่า “เครื่องบินโดรน” (Drone) หรือ “อากาศยานไร้คนขับ” (Unmanned aerial vehicle-UAV) อะไรประมาณนั้น ที่เพิ่งถูกนำมาพูดถึง กล่าวถึง ในรายงานของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงสหประชาชาติในประเทศลิเบีย (UN Security Council’s Panel of Experts on Libya) ไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ และก่อให้เกิดความขนลุก ขนพอง ต่อผู้คนเป็นจำนวนไม่น้อย...
คือในรายงานเขาอาจไม่ได้ระบุรายละเอียดเอาไว้ชัดเจน...แต่ประมาณว่า ขณะที่กองกำลังต่อต้านรัฐบาลลิเบียของนายพล “คาลิฟาร์ ฮาฟตาร์” (Khalifar Haftar) กำลังดาหน้าเพื่อคิดเข้าโจมตีกองกำลังรัฐบาลลิเบีย (Libyan Government National Accord-GNA) ที่มีประเทศตุรกีให้การสนับสนุน ณ กรุงตริโปลี เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เพียงแค่ “ไอ้เสือ...เอาวา!!!” ได้ไม่กี่พัก ก็ต้องแตกกระเจิง หนียะย่าย พ่ายจะแจ เมื่อต้องเจอกับฝูงบินที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากฝูงผึ้ง นั่นก็คือ...เครื่องบินโดรนเครื่องเล็กๆ ประเภทติดใบพัด แต่ดันติดอาวุธร้ายแรงระดับสามารถสังหาร พร่าผลาญ กองกำลังของนายพล “คาลิฟาร์” ชนิดไปไม่ได้-ไปไม่เป็น หรือไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีกันไปเป็นรายๆ หรือเครื่องบินโดรนที่ถูกเรียกขานกันในนาม “STM Kargu-2” ซึ่งถูกผลิตโดยบริษัท “STM” ในตุรกี และว่ากันว่า...เคยถูกนำมาใช้ในสมรภูมิซีเรีย ลิเบีย หรือแม้แต่ในสงคราม “นากอร์โน-คาราบัคห์” (Nogorno-Karabakh war 2020) ระหว่างอาเซอร์ไบจานกับอาร์เมเนีย โน่นเลย ฯลฯ....
คือไอ้เครื่อง “STM Kargu-2” ที่ว่านี้...แม้ในรายละเอียดอาจไม่ถึงกับชัดเจน แต่พอสรุปได้ว่ามันอาจผิดแผกแตกต่างไปจากเครื่องบินโดรนโดยทั่วๆ ไป ที่อย่างน้อย...ต้องมีผู้ควบคุมการปฏิบัติการ คอยกดปุ่ม คอยบังคับทิศทาง ระยะทาง โดยจะให้ไปหย่อนระเบิดใส่หัวกบาลใครต่อใคร ฯลฯ ก็ยังคงต้องอาศัย “มนุษย์” ที่มีหัวจิต หัวใจ อยู่มั่ง นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินโดรนของพวก “กบฏฮูตี” แห่งประเทศที่สุดแสนจะยากจนข้นแค้น อย่างเยเมน ที่โผล่เข้าไปเล่นงานประเทศอภิมหาเศรษฐีซาอุฯ จนชักออกอาการ...ไม่เอาแล้ว!!! ไม่ไหวแล้ว!!! หรือเครื่องบินโดรนของ “ใครก็ไม่รู้???” ในประเทศอิรัก ที่แอบเข้าไปหย่อนระเบิดใส่หัวกบาลทหารอเมริกัน จนอยู่ไม่สุข หรือชักจะอยู่ไม่เป็นยิ่งเข้าไปทุกที อันอาจไม่ถึงกับผิดแผกแตกต่างไปจากเครื่องบินโดรนของอเมริกา ที่ถูกส่งมาทิ้งระเบิดใส่ขบวนรถของนายพล “กอเซ็ม สุไลมานี” แห่งประเทศอิหร่าน ในอิรัก จนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง กันไปทั้งแผง หรือเครื่องบินโดรนของอิสราเอล ที่ถูกนำไปใช้โปรยแก๊สน้ำตา ใส่บรรดาผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ ในเขตฉนวนกาซาเมื่อเร็วๆ นี้ ฯลฯ ฯลฯ...
แต่สำหรับ “STM Kargu-2” นั้น...ว่ากันว่า มันอาจถูก “ติดตั้งโปรแกรม” โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยบุคคลใดๆ หรือมนุษย์รายใดเอาเลยก็ไม่แน่ เพียงแค่เมื่อพบ “ความเคลื่อนไหว” ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สิ่งของ หรือวัตถุใดๆ มันก็พร้อมจะเปิดปฏิบัติการโจมตี ด้วยบรรดาอาวุธร้ายแรง ที่ติดมากับเครื่องยนต์กลไก จนถูกถือเป็น “หุ่นยนต์สังหาร” (Killer Robot) แบบชนิดเต็มรูปแบบ ไม่ต่างไปจากหุ่นยนต์สังหารในนิยายวิทยาศาสตร์ ในหนังฮอลลีวูด ประเภท “คนเหล็ก” ภาค 1 ภาค 2 หรือภาคพิสดาร ฯลฯ อะไรทำนองนั้น คือมันพร้อมจะเข่นฆ่า ล้างผลาญ แบบไม่จำเป็นต้องมีหัวจิต หัวใจ ไม่จำเป็นต้องอาศัยจิตวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น อันถือเป็นเครื่องจักรสังหาร หรืออาวุธสังหาร ที่แสดงให้เห็นถึงการล่วงละเมิดต่อข้อห้าม ข้อตกลง ของสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 เป็นต้นมา...
อย่างไรก็ตาม....การประดิษฐ์คิดค้นอาวุธสังหาร หรือหุ่นยนต์สังหาร ในลักษณะทำนองนี้ โอกาสที่จะไปห้ามปราม ไปขจัดขัดขวาง ไม่ว่าจะโดยองค์การสหประชาชาติ หรือองค์กรใดๆ ก็ตามที น่าจะยากลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุเพราะการช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบในทางทหารทุกวันนี้ มันไปไกลเกินกว่า “เส้นมาตรฐานทางจริยธรรม” ใดๆ ไปนานแล้ว หรือนับเป็นร้อยๆ พันๆ ปีเอาเลยก็ว่าได้ อย่างที่ “พงศาวดารพม่า” เขาได้บันทึกถึงลักษณะอาการของกษัตริย์พม่าอย่าง “พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง” ที่ถึงขั้น “น้ำตาไหล” พรากๆ เมื่อได้เห็น “กระสุนปืนใหญ่” ของฝ่ายตรงข้าม ยิงเข้าใส่บรรดานักรบพม่าที่กำลังฟ้อนดาบ ฟ้อนหลาว ไปตามท่วงทำนองเพลงศึก โดยเหตุที่ทำให้ถึงขั้นน้ำตาไหล ก็ไม่ใช่เพราะความสงสาร เวทนา ต่อนักรบของตัวเอง แต่ด้วยเหตุเพราะ... “นับแต่นี้..ตัวกูคงไม่มีโอกาสได้เห็นศิลปะแห่งสงคราม” อันน่าทึ่ง น่าตื่นตะลึงต่อไปอีกแล้ว ไม่ต่างอะไรไปจาก “นักรบซามูไร” ทั้งหลาย ที่ต้องทิ้งดาบสั้น ดาบยาว เมื่อต้องเจอกับ “ปืนไฟฝรั่ง” นั่นเอง...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ด้วยตัวตนของ “สงคราม” นั่นเอง มันคือตัวทำลาย “ศิลปะ” ทุกสิ่งทุกอย่างลงไปซะเกลี้ยง!!! และพร้อมที่จะผลิตสิ่งต่างๆ ที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าทุเรศ น่าสยดสยอง ออกมาอย่างชนิดไม่ขาดสาย “อุตสาหกรรมทหาร” ในอเมริกา ที่เป็นตัวให้กำเนิดเครื่องบินโดรน มาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 โน่นเลย มันจึงยกระดับ พัฒนา ความน่าเกลียด น่ากลัว จนไม่ว่า “เส้นมาตรฐานทางจริยธรรม” ใดๆ ก็เอาไม่อยู่ หรือทำให้สิ่งที่เรียกว่า “หุ่นยนต์สังหาร” หรือการเข่นฆ่า ล้างผลาญ โดยกรรมวิธีที่เรียกว่า “Lethal autonomous weapons systems” มันจึงชักจะกลายเป็น “ข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้” หรือกำลังเป็นไปอย่างที่นักวิจัยด้านจักรกลแห่ง “MIT” “นายแมกซ์ เทกแมน” (Max Tegman) ได้ออกมา “ทวีต” เอาไว้หลังได้รับทราบรายงานของผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติประจำลิเบีย นั่นแหละว่า... “ยุคแห่งการแพร่ระบาดของ...หุ่นยนต์สังหารได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”....
หุ่นยนต์สังหาร...ที่ถูกติดตั้งโปรแกรมให้เข่นฆ่า ทำลาย อะไรก็ได้ หรือถูกนำเอา “ปัญญาประดิษฐ์” ไปสอดใส่ สอดแทรก ให้ยิ่งฆ่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำลายได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงขั้นชนิดกลายเป็น “คนเหล็ก” อย่างในหนังวิทยาศาสตร์ หรือหนังฮอลลีวูด ฯลฯ มันจึงชักจะกลายเป็นความจริงยิ่งเข้าไปทุกที และก็ไม่แน่นักว่า...สิ่งที่เป็นฉากสุดท้าย หรือเป็นมุมจบของหนังประเภทนี้ นั่นก็คือ...สุดท้าย “เครื่องยนต์” ที่ถูกทำให้มีประสิทธิภาพ มีศักยภาพในการทำลาย ถูกพัฒนา หรือถูกยกระดับ ให้เก่ง ให้ฉลาด ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีมนุษย์รายใดสามารถควบคุมได้อีกต่อไป มันเลยหวนกลับมาเข่นฆ่า ล้างผลาญ มวลมนุษย์ไม่ว่าหน้าไหนต่อหน้าไหนก็แล้วแต่ จนฉิบหายวอดวายกันไปทั้งโลก อะไรประมาณนั้น...
เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้...ก็คงต้องลองเก็บเอาไปใคร่ครวญพิจารณา เอาเองก็แล้วกัน หรือเอาไป “ชั่งน้ำหนัก” ว่ามันจะหนักจะเบามาก-น้อยสักเพียงไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...อย่างน้อยที่สุด ในสมรภูมิสงครามไม่ต่ำกว่า 3 สมรภูมิ นั่นคือซีเรีย ลิเบีย อาร์เมเนีย บรรดา “นักรบ” ที่ยังมีเลือด มีเนื้อ ยังพอมีหัวจิตหัวใจทั้งหลาย ไม่ว่าจะห้าวแสนห้าว ไม่ว่ากร้าวแกร่ง แข็งแกร่ง สักเพียงใด ต่างหนีไม่พ้นต้องกลายเป็น “ศัตรู” ของ “เครื่องจักร” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว