xs
xsm
sm
md
lg

สยามไบโอไซเอนซ์ส่งมอบวัคซีน แอสตร้าฯ1.8ล้านโดส - นายกฯให้อปท.ซื้อวัคซีนได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360 - เริ่มจัดส่งภายในสัปดาห์นี้ “แอสตร้าเซนเนก้า”ทยอยส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตในประเทศไทย ให้กับรัฐบาล หลังจากที่สยามไบโอไซเอนซ์ ได้ส่งมอบวัคซีนล็อตแรกได้สำเร็จตามแผน โดยจะทยอยส่งมอบวัคซีนล็อตแรกจำนวน 1.8 ล้านโดส ประเดิมฉีด 7 มิ.ย.นี้ "บิ๊กตู่" ยันพร้อมฉีด แอสตร้าฯ ให้ประชาชน และจะทยอยเข้าอีกหลายยี่ห้อ ระบุไม่ขัดข้อง อปท.จัดซื้อวัคซีนเอง โดยไม่ต้องแก้ระเบียบมท. ชี้ต้องซื้อบริษัทขึ้นทะเบียนในไทย แต่ต้องไม่ตัดยอดของรัฐบาล “อนุทิน” ย้ำกระจายวัคซีน 1.1 ล้านโดสทั่วไทยแล้ว ศบค. พบผู้ติดเชื่อรายใหม่ 3,440 ราย ตาย 38 ราย คลัสเตอร์ใหม่โผล่ห้างแถวลาดพร้าว ขู่โรงงานขนาดใหญ่เข้าประเมินตัวเองลดการแพร่เชื้อ ภายใน 15 มิ.ย.นี้ เพิกเฉยมีบทลงโทษ

วานนี้ (2 มิ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า “แอสตร้าเซนเนก้า”ประกาศพร้อมทยอยส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตในประเทศไทย ให้กับรัฐบาลใช้ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากที่ สยามไบโอไซเอนซ์ ได้ส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรกได้สำเร็จตามแผน โดยพิธีส่งมอบได้รับเกียรติจาก พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และนายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญนี้

นายเจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ในสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังต่อสู้กับวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เหตุการณ์ในวันนี้มีความสำคัญและมีความหมายต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่ง การที่ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่มีมาตรฐานด้านคุณภาพได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนนั้นถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นจากการมีพันธมิตรด้านการผลิตที่ยอดเยี่ยมอย่าง สยามไบโอไซเอนซ์ ผมขอขอบคุณสยามไบโอไซเอนซ์ที่ร่วมกันผลิตและส่งมอบวัคซีนได้ตามแผนที่กำหนดไว้”

“ในขณะนี้ เมื่อเรามีวัคซีนคุณภาพสูงที่ผลิตในประเทศไทยพร้อมส่งมอบแล้ว ก็จะสามารถสนับสนุนรัฐบาลให้ดำเนินการเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิผลให้กับประชาชนได้โดยเร็วที่สุด”

นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรกิตติมศักดิ์ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า “สยามไบโอไซเอนซ์ ในฐานะผู้รับจ้างผลิต ตระหนักดีถึงหน้าที่สำคัญในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากลให้สำเร็จโดยรวดเร็วที่สุด และรู้สึกภาคภูมิใจที่บริษัทของคนไทยได้รับเลือกจากแอสตร้าเซนเนก้า ให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 และสามารถส่งมอบวัคซีนล็อตแรกให้กับ แอสตร้าเซนเนก้า ได้ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาระหว่าง สยามไบโอไซเอนซ์และแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อจะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของคนในชาติ รวมถึงประชาชนและเศรษฐกิจไทยจะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้ง”

วัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ที่ผลิตโดยสยามไบโอไซเอนซ์ ได้รับการอนุมัติให้เริ่มจัดส่งภายในสัปดาห์นี้ โดยได้ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศ รวมถึงผ่านเกณฑ์การตรวจสอบคุณภาพจากห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ของแอสตร้าเซนเนก้าในต่างประเทศ นับเป็นการยืนยันคุณภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตในประเทศไทย ว่ามีมาตรฐานในระดับสากล ทั้งนี้วัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าในแต่ละรุ่นการผลิตต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพต่างๆ รวมกันมากกว่า 60 รายการ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล เพราะแอสตร้าเซนเนก้า ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

ผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่า ผู้รับวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถทนต่อผลข้างเคียงของวัคซีนได้ดีและวัคซีนยังช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรง นอกจากนี้ จากข้อมูลการใช้วัคซีนในประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลก ยังแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิผล ลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้มากถึง 80% หลังจากการฉีดเข็มแรก

ทั้งนี้ การส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าให้กับรัฐบาลไทยยังคงเป็นไปตามกำหนดเดิม โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบวัคซีนล็อตแรกที่จะเริ่มฉีดในประเทศไทยในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ จำนวน 1.8 ล้านโดส

แอสตร้าเซนเนก้า มีเครือข่ายการผลิตวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก ประกอบด้วยศูนย์การผลิตเฉพาะ 16 แห่ง และพันธมิตรผู้ผลิตวัคซีนอีก 25 แห่งในกว่า 15 ประเทศ สยามไบโอไซเอนซ์เป็นศูนย์การผลิตวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าแห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยผลักดันยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภูมิภาค ที่ผ่านมา แอสตร้าเซนเนก้าได้ร่วมกับสยามไบโอไซเอนซ์ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการผลิตวัคซีนและสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ โดยแอสตร้าเซนเนก้าจะทยอยส่งออกวัคซีน โควิด-19 ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือนกรกฎาคม ณ ขณะนี้ แอสตร้าเซนเนก้าได้จัดส่งวัคซีนมากกว่า 500 ล้านโดส ให้แก่ 168 ประเทศทั่วโลก

"บิ๊กตู่" ยันแอสตร้าฯ พร้อมฉีดให้ปชช.เดือนนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า จะมาถึงไทย วันที่ 3 มิ.ย. เมื่อรับมอบแล้วก็จะจัดสรรฉีดให้กับประชาชนในเดือน มิ.ย. คาดว่ามีเพียงพอที่จะฉีดให้กับประชาชนได้มากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่เสียง แต่ทุกจังหวัดจะได้รับวัคซีนหมด ทั้งแอสตราเซเนกา ซิโนแวค และ ซิโนฟาร์ม ก็จะส่งมาอีก ยืนยันในเดือนมิ.ย.ไม่มีปัญหา และในเดือนต่อๆไป ก็มีการหารือกันอยู่แล้ว มีอีกหลายบริษัทที่เสนอจะมาขึ้นทะเบียนกับเรา คิดว่าจะต้องติดตามและพิจารณาหากมีอุปสรรคใดๆ ก็จะต้องแก้ปัญหาให้ได้

ส่วนจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่า จะได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา เดือนละ 10 ล้านโดสนั้น เป็นการตั้งเกณฑ์ไว้ และหารือร่วมกับเขาถึงขีดความสามารถฉีดวัคซีนของเรา จะได้ประมาณเดือนละ 5 แสนโดส เขาก็ตัดให้เราหมดในยอดนี้ และปกติเขาก็ต้องส่งไปที่อื่นด้วย อันนี้คือส่วนแรก จากนั้นเขาก็จะตัดเสริมเติมให้ตามสัญญา สำหรับเป้าหมาย 50 ล้านคนในเดือนธ.ค. ถ้าเป็นตามแผน ก็จะได้ 60 กว่าล้านคน ระหว่างนี้ก็เตรียมวัคซีนอื่นเข้ามาเพิ่ม ทั้ง ซิโนแวค และ ซิโนฟาร์ม ไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ก็กำลังทำสัญญากันอยู่ ยังเชื่อมั่นว่าจะจัดหาวัคซีนได้ตามเป้า

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยังสูงอยู่ เป็นเพราะเรามีการคัดกรองเชิงรุก แต่ก็ยังสามารถควบคุมในแต่ละพื้นที่จำกัดไว้ได้ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง 39 คลัสเตอร์ เวลานี้มี 5-6 คลัสเตอร์ ที่ตัวเลขไม่เพิ่มขึ้นเลยในช่วง1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงการจัดซื้อวัคซีนในส่วนของ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ต้องการจัดซื้อเอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้หารือกับฝ่ายกฎหมายแล้ว หากซื้อได้ก็ให้ซื้อ แต่การซื้อจะผ่านช่องทางไหน เพราะต้องผ่านบริษัทที่มาขึ้นทะเบียนในไทยแล้ว และเขาจะจัดให้ได้เท่าไร ก็ต้องดูประสิทธิภาพของเขาในการบริหารจัดการ เพราะบริษัทที่มาขึ้นทะเบียนเป็นการประสานระหว่างรัฐต่อรัฐ

ส่วนกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่ต้องไปปลดล็อกระเบียบอะไร เพราะมีอำนาจหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถใช้กฎหมายปกติได้ เพียงแต่ความแตกต่างงบฯ ของแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน สถาท้องถิ่นจะว่าอย่างไร และขึ้นอยู่กับว่า อปท. ติดต่อกับใคร บริษัทไหน ซึ่งวันนี้มีอยู่ 3 บริษัท ที่มาขึ้นทะเบียน เป็นการติดต่อรับรองโดยรัฐบาลกับรัฐบาล บริษัทเหล่านี้คือตัวแทนที่อยู่ในประเทศไทย หากจะซื้อกับบริษัทเหล่านี้ ก็ไม่ขัดข้อง แต่วัคซีนที่เขานำเข้าอยู่ในยอดของรัฐบาล ถ้าเขาเพิ่มยอดมาให้ก็ซื้อได้ โอเค แต่ถ้าจะซื้อในยอดที่เขาจัดให้รัฐบาล แล้วบริษัทจะมาตัดของรัฐบาลออกหรือไม่

"ยืนยันว่าผมไม่ขัดข้อง เพราะยังไงก็ต้องฉีดให้กับประชาชน ผมไม่ได้ไปหวงอะไรไว้เลย ถ้าทำได้ ทำเถอะครับ ถ้าเพิ่มปริมาณได้ก็ยิ่งดี เพราะของรัฐบาลฉีดฟรีตลอด ดูแลทุกขั้นตอน การที่จะซื้อไปฉีดก็ต้องมีค่าบริการ ซึ่งต้องไม่เกินตามข้อกำหนด และขายต่อไม่ได้ กติกากฎหมายเป็นอย่างนี้ ยืนยันไม่มีปัญหาถ้าอยากซื้อ แต่ปัญหาคือซื้อจากที่ไหน อย่างไร จำนวนเท่าไร เป็นเรื่องของอปท. กับบริษัทผู้แทนต้องไปเจรจากันเองโดยไม่เกี่ยวกับ ศบค. เป็นเรื่องของสภาท้องถิ่นงบประมาณใช้ตรงไหน เป็นเรื่องของจังหวัดที่มีอยู่แล้ว หรือจะเป็นงบสะสมของอปท. ถ้าอยู่ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของสภาฯท้องถิ่นที่จะพิจารณา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยทราบแล้ว และผมได้คุยกับรมว.มหาดไทยแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

มท.1 การันตี อปท. จัดซื้อวัคซีนได้ 5 ชนิด ที่ อย.รับรอง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการจัดซื้อวัคซีน ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมให้ ศบค. แจ้งไปยัง อปท.ว่าสามารถซื้อวัคซีน 5 ชนิด ที่อย.รับรองได้ แต่ต้องอยู่ในแผนของ ศบค. และติดต่อซื้อผ่านรัฐ

"ที่ผ่านมา อปท.ต้องการเข้ามาช่วยดูแลสถานการณ์ป้องกันสกัดโควิด-19 ซึ่งตามกฎหมาย อปท.ให้ซื้อวัคซีนได้ เพราะเป็นการรักษาและฟื้นฟู เพียงแต่มีคำแนะนำจากผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นว่า การจัดหาวัคซีนระยะแรก เข้าใจดีที่ อปท. ต้องการช่วยเหลือเรี่องวัคซีน แต่มีรายละเอียดที่ต้องพิจารณา อาทิ อปท.บางแห่งมีงบ บางแห่งไม่มี รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 70% ของประชากรนั้น หากให้ อปท.จัดซื้ออาจเกิดความเหลื่อมล้ำ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อาจเกิดขึ้นได้แค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ไม่ตรงกับเจตนากระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ไปพร้อมๆกันทั่วประเทศ"รมว.มหาดไทย กล่าว

"อนุทิน" กระจายวัคซีน 1.1 ล้านโดสทั่วไทยแล้ว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวหลังการประชุมเรื่องวัคซีนโควิด-19 ว่า การจัดหาและกระจายวัคซีน ยังเป็นไปตามแผนงานที่นายกรัฐมนตรี และ ศบค. มอบให้กระทรวงสาธารณสุขนำไปปฏิบัติ ข่าวสารต่างๆ ขอให้รับจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะทางกระทรวงฯ เป็นฝ่ายจัดหาและจัดการ ล่าสุดวานนี้ได้ส่งวัคซีนประมาณ 1.1 ล้านโดส ทั้งของแอสตราเซเนกา และซิโนแวค ลงพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย กระจายไปตามหน่วยงานด้านสาธารณสุข วัคซีนจะต้องให้บริการกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด

“สำหรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า การจัดส่งเป็นไปตามสัญญา ที่กรมควบคุมโรคได้ทำความตกลงกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า รองรับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในการฉีด เพื่อทำให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ การจัดส่งวัคซีนสอดคล้องประสิทธิภาพการฉีดของเรา โดยจะมีการส่งเป็นรายสัปดาห์” นายอนุทินกล่าว

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การกระจายวัคซีน เริ่มจากหารเท่ากันทุกจังหวัดก่อน จังหวัดที่มีการระบาดมากจะได้รับการจัดสรรมาก เช่น กทม.และปริมณฑล และพื้นที่จำเพาะตามนโยบาย เช่น พื้นที่ท่องเที่ยวภูเก็ต ซึ่งมีการฉีดเข็มแรกไปแล้วได้ 50% ของเป้าหมาย หรือชลบุรี พัทยา เกาะสมุย จะได้เพิ่มเติม มีการปรับเกลี่ยวัคซีน โดยการจัดสรรขึ้นอยู่กับวัคซีนที่มีและความต้องการในการฉีด ต้องปรับตามสถานการณ์ ดังนั้นทุกจังหวัดจะได้รับวัคซีน โดยจังหวัดที่อยู่ไกล การขนส่งลำบาก จะได้รับการจัดสรรก่อน ขณะนี้กระจายแล้ว 1 ล้านกว่าโดส หลายพื้นที่ได้รับวัคซีนแล้ว แต่อาจมีบางพื้นที่อยู่ระหว่างการขนส่ง โดยจะทยอยไปเรื่อยๆ

“ศบค.ให้แผนประจำเดือน แต่เราทอนมาเป็นรายสัปดาห์ ส่งไปแล้วติดตามดูสต๊อกว่าเหลือเท่าไร เพื่อความยืดหยุ่นและปรับการจัดส่ง ส่วนแผนการฉีดของแต่ละพื้นที่เขามีตัวเลขอยู่แล้ว ขอให้ฉีดอย่างเหมาะสม ทั้งการฉีดและการมีวัคซีนต้องเหมาะสมกัน โดยกลุ่มเป้าหมายยังคงเดิม คือ ผู้ที่จองผ่านแอปพลิเคชัน ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง รวมถึงกลุ่มที่ต้องได้รับการฉีดก่อน เช่น บุคลากรทางการศึกษา, แรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดำเนินการ” นพ.โอภาสกล่าว

ทั้งนี้ วัคซีนที่จัดส่งไปในแต่ละพื้นที่ มีทั้งซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า จะปรับตามความเหมาะสมพื้นที่ ซึ่งวัคซีนทั้ง 2 ชนิด ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ข้อบ่งชี้ไม่ต่างกัน ใช้ได้ทั้งสองตัวแต่ขึ้นกับเหตุผลของแต่ละคน เช่น ฉีดซิโนแวคแล้วแพ้เข็มสองเปลี่ยนเป็นแอสตร้าฯ แต่การฉีดจะขึ้นกับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจ

คลัสเตอร์ใหม่ห้างแถวลาดพร้าว

พญ.อภิสมัย ศรีสังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พบมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,440 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,338 ราย มาจากเรือนจำ 1,087 ราย ยอดสะสม 165,462 ราย อยู่ระหว่างรักษา 49,777 ราย อาการหนัก 1,247 ราย ใส่ท่อ 381 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 38 ราย รวมผู้เสียชีวิต 1,107 ราย ทั้งนี้ คลัสเตอร์ต้องเฝ้าระวังรวม 48 คลัสเตอร์ คลัสเตอร์ที่เพิ่มใหม่ คือลาดพร้าว ที่พบผู้ติดเชื้อในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง 23 ราย

พร้อมกันนี้ ในที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก ได้หารือถึงการแพร่ระบาดในโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ที่ จ.สระบุรี และกระจายเชื้อไปหลายจังหวัด โดยโรงงานดังกล่าวมีแรงงานจำนวนมากทั้งคนไทย และต่างชาติ สถานที่แออัด เมื่อมีการติดเชื้อทำให้มีการระบาดขยายเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงขอให้โรงงาานขนาดใหญ่ที่มีรายชื่ออยู่ในกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าไปประเมินตัวเอง ภายในวันที่ 15 มิ.ย. นี้ หากไม่ผ่านจะต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไข แต่หากขอความร่วมมือแล้วเพิกเฉย ไม่ประเมินตนเอง เป็นเหตุให้มีการติดเชื้อและกระจายไปที่อื่น ตรงนี้จะมีการพิจารณาบทลงโทษ


กำลังโหลดความคิดเห็น