คนรุ่นใหม่จำนวนมากถูกผู้ใหญ่และอาจารย์มหาวิทยาลัยใส่ความคิดให้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และทำให้เด็กเชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย วันนี้เราอาจจะยังไม่รู้หรอกว่า คนรุ่นใหม่ส่วนมากคิดเหมือนที่คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งแสดงออกบนท้องถนนหรือไม่ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าอนาคตที่ยุ่งเหยิงนั้นกำลังจะรอคอยอยู่ข้างหน้า
แน่นอนพวกผู้ใหญ่หลายคนกำลังมีความสุขที่สามารถเพาะพันธุ์แห่งความเกลียดชังไว้กับคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง เพื่อแบกรับเอาความเคียดแค้นชิงชังต่อสถาบันของพวกเขาให้สามารถสืบทอดสายพันธุ์ต่อไปได้ และคนรุ่นใหม่ยังสามารถทะลุทะลวงเพดานขึ้นไปอย่างที่พวกเขาไม่กล้าที่จะทำมาก่อนด้วยซ้ำไป
พวกผู้ใหญ่เหล่านี้มีความอำมหิตพอที่จะใช้ชีวิตของลูกหลานคนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อตอบสนองตัณหาของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าพวกเด็กเหล่านั้นจะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างไร
น่าสงสารคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่กำลังมีอนาคตอันสดใส หลายคนกำลังเรียนในมหาวิทยาลัย หลายคนกำลังจะจบการศึกษา แต่ต้องพาตัวมาพัวพันคดีความทางการเมืองที่หนักหนาสาหัสอย่างมาตรา 112 และมาตรา 116 เพราะหลงเชื่อในอุดมการณ์ที่ถูกส่งผ่านมา
หลายคนที่ถูกข้อกล่าวหามีการแสดงออกที่ชัดแจ้งเกินเลยไปกว่าการวิพากษ์วิจารณ์โดยเปิดเผยสุจริตไปมาก ล่วงล้ำไปถึงการดูหมิ่น หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายไปเลยก็ว่าได้ ถ้าได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดและแสดงออกทั้งบนเวทีและข้างล่างในโซเชียลมีเดียที่พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเองก็ไม่กล้าแสดงออกเช่นนั้นมาก่อน
หลายครั้งเราจึงเห็นสื่อมวลชนส่วนใหญ่ที่ไปรายงานข่าวในที่ชุมนุมไม่กล้าแม้แต่จะถ่ายทอดเพื่อสื่อสารคำพูดของพวกเขาออกสู่สาธารณะ ก็เพราะรู้ว่าคำพูดนั้นก้าวล่วงและหมิ่นเหม่ต่อการกระทำความผิดอย่างชัดแจ้ง
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์นั้นต่างก็รู้หนักเบาว่า เขาพูดได้แค่ไหนและอะไรควรจะสื่อสารออกมาเมื่ออยู่ในประเทศ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เกษียร เตชะพีระ ประจักษ์ ก้องกีรติ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ฯลฯ แม้จะให้ท้ายเด็กตัวเองก็ไม่กล้าที่จะพูดจาท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แบบตรงๆ อย่างที่เด็กๆ แสดงออก อาจจะมีแต่อธึกกิต แสวงสุข เท่านั้นที่พยายามสื่ออย่างฉวัดเฉวียนแบบมีเชิงชั้น และหลายคนรอวันที่จะเห็นกิ้งกือเดินตกท่อ
พวกผู้ใหญ่เหล่านี้ไม่ใช่ไม่รู้หรอกว่าที่เด็กแสดงออกนั้นเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 แต่พวกเขาต้องการใช้ความใสซื่อและเร่าร้อนของเด็กเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง ส่วนเด็กก็รู้แหละว่าน่าจะมีความผิด แต่พวกเขาพอใจคำป้อยอและชื่นชมของผู้ใหญ่มากกว่าที่จะกลัวความผิดตามกฎหมาย เด็กวัยนี้ใครก็อยากได้คำชื่นชมห้อมล้อมและเชิดชูว่าเป็นวีรบุรุษ
รู้กันว่าเด็กนั้นยิ่งห้ามเขายิ่งทำ และยิ่งยุเขาก็ยิ่งจะตะลุยไปข้างหน้า
พวกผู้ใหญ่เหล่านี้รู้แรงปรารถนาของเด็ก พวกเขายิ่งทำให้เด็กเหล่านั้นฮึกเหิมด้วยการชื่นชมว่ามีความกล้าหาญ และดันหลังให้เด็กๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนยากจะถอยกลับได้ ตอนนี้ทุกคนเลยมีคดีความติดตัวคนละหลายคดี
พ่อแม่หลายคนอาจจะห้ามในช่วงแรก แต่เมื่อลูกหลานของตัวเองถลำลึกไปแล้วก็ได้แต่ปลอบประโลม เพื่อไม่ให้ลูกหลานของตัวเองตื่นกลัว พ่อแม่หลายคนเคยออกมาขับไล่ระบอบทักษิณมาก่อนเคยสวมเสื้อเราจะสู้เพื่อในหลวง แต่วันนี้เปลี่ยนความผิดไปอยู่ตรงข้ามไปเดินตามความคิดของลูกหลานตัวเอง เพราะความรักลูกรักหลานไม่มีใครที่อยากจะไปขัดใจ ทางเดียวคือออกไปร่วมสู้กับพวกเขาแม้จะขัดแย้งกับสิ่งที่ตัวเองเคยต่อสู้มาก็ตาม
ยิ่งแกนนำหลายคนต่อสู้ไปพร้อมกับเปิดเผยเลขบัญชีธนาคารเพื่อให้คนสนับสนุนโอนเข้ามา ผู้ปกครองก็ยิ่งเห็นตัวเลขอันตื่นตาตื่นใจกับอุดมการณ์ที่กินได้
ยิ่งพ่อแม่ออกมายืนเคียงข้างเพราะรักลูก เด็กๆ เหล่านี้ก็ยิ่งฮึกเหิม วันนี้เราเห็นเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ พยายามจะประดิษฐ์ถ้อยคำด้วยเชิงชั้นที่คิดว่าจะรอดกรงเล็บของกฎหมายและเงื่อนไขของศาลไปได้ แต่ว่าไปแล้วถ้าเราดูเจตนานั้นก็ยากที่จะรอด เหลือเพียงแต่ว่าจะมีใครไปร้องว่าทำผิดเงื่อนไขของศาลเมื่อไหร่เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ปล่อยให้หลงระเริงออกมาให้ชัดแจ้งยิ่งกว่านี้แล้วค่อยดำเนินการ
มีคนเล่าว่าในวันยื่นคำร้องที่ศาลให้ประกันตัวนั้น ทุกครั้งที่ศาลถามเพนกวินจะหันมาซุบซิบกับแม่เพื่อขอความเห็นก่อน นั่นก็สะท้อนว่าความคิดและอิทธิพลของแม่นั้นส่งผลต่อตัวเขาไม่น้อย
แน่นอนเราจะพอมองเห็นแล้วว่า อนาคตของแกนนำหลายคนนั้นยากที่จะหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของกฎหมาย หลายคนอาจจะต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่เราต้องยอมรับว่า เราไม่สามารถหยุดยั้งความคิดการเปลี่ยนแปลงที่จะหมุนเวียนไปตามกาลเวลาได้ วันข้างหน้าเป็นวันของพวกเขาไม่ใช่วันของคนรุ่นพวกเรา
แม้เรายังไม่รู้ว่าความคิดของคนรุ่นใหม่จะเป็นแบบเดียวกันทั้งเจเนอเรชันหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่า มีคนจำนวนมากที่คิดแบบเดียวกับแกนนำรุ่นเดียวกันที่ออกมาต่อสู้บนท้องถนน คำถามที่ตามมาก็คือว่า เราจะปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของอนาคตสุดแล้วแต่จะเป็นไปหรือไม่ หรือเราจะหาทางออกให้คนรุ่นใหม่ยอมรับค่านิยมสังคมแบบเก่าที่คนรุ่นเราเดินมาได้อย่างไร
มันจำเป็นอยู่เหมือนกันที่เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงและแก้ไขตัวเองในวันที่เรายังมีชีวิตอยู่ และวันเวลาของพวกเรายังมีพอที่จะทำให้เรากระทำสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง เพื่อให้คนรุ่นต่อไปเขาสามารถที่จะมีพื้นที่ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง และทำให้พวกเขาเชื่อว่าอนาคตข้างหน้ายังมีความหวังและความสวยงามรอคอยอยู่
แน่นอนว่ามาตรการทางกฎหมายอาจจะเป็นสิ่งจำเป็น เพราะบ้านเมืองต้องมีขื่อแปที่จะต้องปกป้องระบอบและโครงสร้างของสังคมไม่ให้พังทลายลง แต่ขณะเดียวกันเราต้องเอาชนะใจคนรุ่นใหม่ด้วยการทำให้พวกเขาเห็นว่าโครงสร้างและระบอบนี้ยังมีค่านิยมที่ดีงามที่จะทำให้เขาสามารถดำรงชีวิตไปได้อย่างมีความหมาย
เราคงต้องยอมรับว่าการที่คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาท้าทายโครงสร้างของสังคมและค่านิยมแบบเก่านั้น ก็เพราะคนรุ่นเก่ากระทำในสิ่งที่ผิดพลาดเช่นกัน ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขาหลงใหลในคำยุยงของผู้ใหญ่บางคนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันคิดว่าแม้อนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราจะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นได้อย่างไร
อย่าปล่อยให้ความขัดแย้งเป็นเรื่องของอนาคตด้วยการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดเสียแต่วันนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan