“บอร์ดตลาดทุน” เห็นชอบเกณฑ์ระดมทุน “เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพ” พร้อมส่งเสริมให้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรองสำหรับเอสเอ็มอี เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็น ปชช.-ผู้เกี่ยวข้องต่อไป คาดประกาศใช้ภายในปีนี้
วานนี้ (20 พ.ค.) น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) ครั้งที่ 6/2564 เมื่อวันที่ 18 พ.ค.64 มีมติเห็นชอบการออกหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการระดมทุนในวงกว้างและเข้าจดทะเบียนในตลาดรองสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และวิสาหกิจเริ่มต้น (สตาร์ทอัพ) เพื่อเพิ่มทางเลือกการเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุนให้กับกิจการ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลผู้ลงทุนให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง
น.ส.รื่นวดี กล่าวต่อว่า ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประสานความร่วมมือในการพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การระดมทุนตลาดแรก การทำหน้าที่ภายหลังจากการเสนอขาย และการเข้าจดทะเบียนในตลาดรอง ตลอดจนการจัดตั้งตลาดรองสำหรับเอสเอ็มอี (SMEs Board) โดยจะกำหนดให้เอสเอ็มอีที่จะระดมทุนในวงกว้างและเข้าจดทะเบียนในตลาดรองต้องมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งมีกลไกตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เหมาะสม และมีความสอดคล้องกับรูปแบบการระดมทุนจากบุคคลในวงกว้าง ทั้งนี้ จะผ่อนปรนหลักเกณฑ์ทั้งในตลาดแรกและตลาดรองเพื่อให้ไม่เป็นภาระต่อภาคธุรกิจมากเกินไป เช่น ไม่ต้องยื่นคำขออนุญาต, ไม่กำหนดให้มีที่ปรึกษาทางการเงิน และไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม เป็นต้น
น.ส.รื่นวดี กล่าวด้วยว่า การลงทุนในหุ้นของเอสเอ็มอีมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ผู้ลงทุนที่จะสามารถลงทุนได้ จึงจะต้องเป็นผู้ลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์การลงทุน มีประสบการณ์และมีสินทรัพย์สูงในระดับหนึ่งที่สามารถรับความเสี่ยงได้ ได้แก่ ผู้ลงทุนสถาบัน, กิจการเงินร่วมลงทุน, นิติบุคคลร่วมลงทุน, ผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ, กรรมการ และพนักงานของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ หรือบริษัทในเครือ
“การจัดตั้งตลาดรองสำหรับเอสเอ็มอี (SME Board) ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยหลักเกณฑ์ในเบื้องต้นจะกำหนดประเภทผู้ลงทุนให้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดเช่นเดียวกับในตลาดแรก และส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านตัวกลาง รวมทั้งมีการกำกับดูแลในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์เช่นเดียวกับ SET และ mai ขั้นตอนต่อไป ก.ล.ต. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยคาดว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2564" น.ส.รื่นวดี กล่าว
วานนี้ (20 พ.ค.) น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) ครั้งที่ 6/2564 เมื่อวันที่ 18 พ.ค.64 มีมติเห็นชอบการออกหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการระดมทุนในวงกว้างและเข้าจดทะเบียนในตลาดรองสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และวิสาหกิจเริ่มต้น (สตาร์ทอัพ) เพื่อเพิ่มทางเลือกการเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุนให้กับกิจการ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลผู้ลงทุนให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง
น.ส.รื่นวดี กล่าวต่อว่า ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประสานความร่วมมือในการพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การระดมทุนตลาดแรก การทำหน้าที่ภายหลังจากการเสนอขาย และการเข้าจดทะเบียนในตลาดรอง ตลอดจนการจัดตั้งตลาดรองสำหรับเอสเอ็มอี (SMEs Board) โดยจะกำหนดให้เอสเอ็มอีที่จะระดมทุนในวงกว้างและเข้าจดทะเบียนในตลาดรองต้องมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งมีกลไกตามกฎหมายในการคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เหมาะสม และมีความสอดคล้องกับรูปแบบการระดมทุนจากบุคคลในวงกว้าง ทั้งนี้ จะผ่อนปรนหลักเกณฑ์ทั้งในตลาดแรกและตลาดรองเพื่อให้ไม่เป็นภาระต่อภาคธุรกิจมากเกินไป เช่น ไม่ต้องยื่นคำขออนุญาต, ไม่กำหนดให้มีที่ปรึกษาทางการเงิน และไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียม เป็นต้น
น.ส.รื่นวดี กล่าวด้วยว่า การลงทุนในหุ้นของเอสเอ็มอีมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ผู้ลงทุนที่จะสามารถลงทุนได้ จึงจะต้องเป็นผู้ลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์การลงทุน มีประสบการณ์และมีสินทรัพย์สูงในระดับหนึ่งที่สามารถรับความเสี่ยงได้ ได้แก่ ผู้ลงทุนสถาบัน, กิจการเงินร่วมลงทุน, นิติบุคคลร่วมลงทุน, ผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ, กรรมการ และพนักงานของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ หรือบริษัทในเครือ
“การจัดตั้งตลาดรองสำหรับเอสเอ็มอี (SME Board) ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยหลักเกณฑ์ในเบื้องต้นจะกำหนดประเภทผู้ลงทุนให้มีคุณสมบัติตามที่กำหนดเช่นเดียวกับในตลาดแรก และส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านตัวกลาง รวมทั้งมีการกำกับดูแลในเรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์เช่นเดียวกับ SET และ mai ขั้นตอนต่อไป ก.ล.ต. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วไปและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยคาดว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในปี 2564" น.ส.รื่นวดี กล่าว