ผู้จัดการรายวัน360-“ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” หัวหน้าแก๊งตุ๋นพันล้าน มอบตัวกองปราบ เผยถูกกลั่นแกล้ง ยันตนเองมีคดีตกเป็นผู้เสียหายสูญเงินไปกว่า 100 ล้าน ยังไม่ได้ประกันตัว เหยื่อแฉใช้จิตอาสาบังหน้าสร้างความน่าเชื่อถือ แม่ทัพภาคที่ 2 ตั้งกรรมการสอบ “พ.ต.พ.ญ.อมราภรณ์” หนึ่งในเครือข่าย หลังถูกจับข้อหาข้อโกง ย้ำให้ความร่วมมือตำรวจเต็มที่ “บอส” เฮงเฮงเฮง บุกกองปราย เผยร่วมลงทุนเสียหาย 48 ล้าน ล่าสุดมีเหยื่อกว่า 500 รายขอแจ้งความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (17 พ.ค.) ที่กองปราบปราม นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเข้ามอบตัว หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกับพวกรวม 6 คน เปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกลงทุนหลายรูปแบบ มูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยนำพยานเอกสารหลักฐานสำคัญต่างๆ มามอบให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงทางคดี
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว จึงได้เตรียมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงมาชี้แจงกับพนักงานสอบสวน มั่นใจว่า มีข้อมูลสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีตามกฎหมายได้ โดยยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง และเรื่องที่เกิดขึ้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะที่ผ่านมา ส่วนตัวก็มีคดีความที่ตัวเองตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาทเช่นเดียวกัน
“ที่ผ่านมา ปัญหาโควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของผมอย่างมาก อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง จึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจกับการทำธุรกิจแบบเครือข่าย ซึ่งส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ยังมีคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ และหากตัวเองกระทำความผิดจริง ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว”
วันเดียวกัน มีกลุ่มตัวเเทนผู้เสียหายกว่า 20 คน นำโดยนายอติชาต เลาหพิบูลย์กุล เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีที่เคยเเจ้งความกล่าวหานายประสิทธิ์ กับพวก ในข้อหาฉ้อโกง โดยนายอติชาตกล่าวว่า ได้ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ มานาน 2 ปี ตนเองมีมูลค่าเสียหาย 80 ล้านบาท ลงทุนทุกรูปเเบบที่นายประสิทธิ์เสนอออกมา เนื่องจากมีความเชื่อถือ เนื่องจากนายประสิทธิ์เป็นบุคคลมีต้นทุนทางสังคม เเละตัวเองก็เคยมีโอกาสได้ลงพื้นที่ร่วมทำจิตอาสาร่วมกับนายประสิทธิ์ด้วย
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ได้นำผู้เสียหายกว่า 30 ราย ที่ถูกนายประสิทธิ์ หลอกให้มาร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายประเภท มีความเสียหายมูลค่ารวมกว่า 70 ล้านบาท เข้าพบ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. เพื่อนำพยานหลักฐานมามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม
ที่กองบังคับการปราบราม (บก.ป.) นายเดชบดินทร์ ฉายทองดี หรือ “บอส” นักแสดงซิทคอมเรื่อง เฮง เฮง เฮง หนึ่งในผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์ ได้เดินทางมาติดตามคดี หลังทราบทราบว่านายประสิทธิ์ได้เข้ามอบตัว พร้อมนำสลิปการโอนเงินมาแสดง และระบุว่า ได้ลงทุนมา 2 ปี วงเงิน 9 ล้านบาท ไม่มีปัญหาอะไร พอมาเดือนพ.ย.2563 ไม่สามารถเบิกเงินคืน และไม่ได้เงินตามกำหนด โดยมีเงินลงทุนของตนกับคนอื่นกว่า 48 ล้านบาท
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำนายประสิทธิ์ เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธ จะมีการสอบปากคำเพิ่มเติม โดยเฉพาะเส้นทางการเงิน การยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมส่งตัวฝากขังในวันนี้ และคัดค้านการประกันตัว เช่นเดียวกับผู้ต้องหา 4 คน ในเครือข่ายที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ และล่าสุดจากข้อมูลที่ได้รับตอนนี้ ทราบว่ามีผู้เสียหายประสงค์เข้าแจ้งความแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คน
พล.ท.ธเนศ วงศ์ชะอุ่ม แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าการดำเนินการของ พ.ต.พ.ญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข สังกัดกองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ช่วยราชการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี กระทบต่อภาพลักษณ์ทำให้กองทัพเสียหายหรือไม่ มีการใช้เวลาราชการหรือแต่งชุดทหารเข้าไปร่วมทำธุรกิจหรือไม่ หลังจากถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกง และเกี่ยวข้องกับนายประสิทธิ์ และพร้อมที่จะร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และหากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสำนวนคดีให้กับอัยการ และอัยการพิจารณาส่งศาล ทางกองทัพภาคที่ 2 ก็จะมีคำสั่งให้พ.ต.พ.ญ.อมราภรณ์ พักราชการทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (17 พ.ค.) ที่กองปราบปราม นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเข้ามอบตัว หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกับพวกรวม 6 คน เปิดบริษัทในลักษณะเครือข่ายใหญ่ หลอกลงทุนหลายรูปแบบ มูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยนำพยานเอกสารหลักฐานสำคัญต่างๆ มามอบให้กับทางพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงทางคดี
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว จึงได้เตรียมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงมาชี้แจงกับพนักงานสอบสวน มั่นใจว่า มีข้อมูลสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีตามกฎหมายได้ โดยยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง และเรื่องที่เกิดขึ้นถูกกลั่นแกล้ง เพราะที่ผ่านมา ส่วนตัวก็มีคดีความที่ตัวเองตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาทเช่นเดียวกัน
“ที่ผ่านมา ปัญหาโควิด-19 ส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของผมอย่างมาก อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง จึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจกับการทำธุรกิจแบบเครือข่าย ซึ่งส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ยังมีคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ และหากตัวเองกระทำความผิดจริง ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว”
วันเดียวกัน มีกลุ่มตัวเเทนผู้เสียหายกว่า 20 คน นำโดยนายอติชาต เลาหพิบูลย์กุล เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีที่เคยเเจ้งความกล่าวหานายประสิทธิ์ กับพวก ในข้อหาฉ้อโกง โดยนายอติชาตกล่าวว่า ได้ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ มานาน 2 ปี ตนเองมีมูลค่าเสียหาย 80 ล้านบาท ลงทุนทุกรูปเเบบที่นายประสิทธิ์เสนอออกมา เนื่องจากมีความเชื่อถือ เนื่องจากนายประสิทธิ์เป็นบุคคลมีต้นทุนทางสังคม เเละตัวเองก็เคยมีโอกาสได้ลงพื้นที่ร่วมทำจิตอาสาร่วมกับนายประสิทธิ์ด้วย
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ได้นำผู้เสียหายกว่า 30 ราย ที่ถูกนายประสิทธิ์ หลอกให้มาร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายประเภท มีความเสียหายมูลค่ารวมกว่า 70 ล้านบาท เข้าพบ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. เพื่อนำพยานหลักฐานมามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม
ที่กองบังคับการปราบราม (บก.ป.) นายเดชบดินทร์ ฉายทองดี หรือ “บอส” นักแสดงซิทคอมเรื่อง เฮง เฮง เฮง หนึ่งในผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์ ได้เดินทางมาติดตามคดี หลังทราบทราบว่านายประสิทธิ์ได้เข้ามอบตัว พร้อมนำสลิปการโอนเงินมาแสดง และระบุว่า ได้ลงทุนมา 2 ปี วงเงิน 9 ล้านบาท ไม่มีปัญหาอะไร พอมาเดือนพ.ย.2563 ไม่สามารถเบิกเงินคืน และไม่ได้เงินตามกำหนด โดยมีเงินลงทุนของตนกับคนอื่นกว่า 48 ล้านบาท
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบปากคำนายประสิทธิ์ เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธ จะมีการสอบปากคำเพิ่มเติม โดยเฉพาะเส้นทางการเงิน การยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมส่งตัวฝากขังในวันนี้ และคัดค้านการประกันตัว เช่นเดียวกับผู้ต้องหา 4 คน ในเครือข่ายที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ และล่าสุดจากข้อมูลที่ได้รับตอนนี้ ทราบว่ามีผู้เสียหายประสงค์เข้าแจ้งความแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คน
พล.ท.ธเนศ วงศ์ชะอุ่ม แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าการดำเนินการของ พ.ต.พ.ญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข สังกัดกองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ช่วยราชการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี กระทบต่อภาพลักษณ์ทำให้กองทัพเสียหายหรือไม่ มีการใช้เวลาราชการหรือแต่งชุดทหารเข้าไปร่วมทำธุรกิจหรือไม่ หลังจากถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกง และเกี่ยวข้องกับนายประสิทธิ์ และพร้อมที่จะร่วมมือกับตำรวจอย่างเต็มที่ ในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และหากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสำนวนคดีให้กับอัยการ และอัยการพิจารณาส่งศาล ทางกองทัพภาคที่ 2 ก็จะมีคำสั่งให้พ.ต.พ.ญ.อมราภรณ์ พักราชการทันที