น่าจะเบาๆ ลงไปมั่งแล้ว!!!...สำหรับรายการ “เสือล้างสิงห์-เจอลิงล้างก้น” การดวลจรวด-ดวลระเบิด ระหว่างกองทัพ “IDF”ของอิสราเอล กับกองกำลัง “ฮามาส”ของชาวปาเลสไตน์ ที่ “ใส่” กันอุตลุดเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลอิสราเอล ณ ขณะนี้ ยังคงปฏิเสธข้อเรียกร้อง วิงวอนของสหประชาชาติ อียิปต์ รัสเซีย ที่อยากให้ “หยุดยิง”หรือยุติความรุนแรงกันโดยฉับพลัน-ทันที หรือฝ่ายฮามาสที่พยายามผนวกเอาเรื่องความพยายามขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกไปจากดินแดนด้านตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม หรือเรื่องการไล่ทุบ ไล่กระทืบ บรรดาชาวมุสลิมที่มัสยิด “อัล-อักซอ” เข้าไปเป็นเงื่อนไขในการหยุดยิง-ไม่หยุดยิง กันซะอีกต่างหาก...
เพราะถ้าดูจากข่าวคราว คำร่ำลือของสำนักข่าวต่างประเทศเป็นจำนวนไม่น้อย ที่คาดๆ หรือที่ปักใจเชื่อกันไปแล้ว ว่ากองกำลัง “IDF” ของอิสราเอล กำลังเตรียม “บุกภาคพื้นดิน”หรือเตรียมเรียกระดมกองกำลังสำรองเข้าประจำการกันอีกไม่กว่า 7,500-9,000 ราย ส่งเข้าไปประชิดติดแนวพรมแดนเล็กๆ ระดับแมวดิ้นตาย หรือแหล่งหลบภัยแหล่งสุดท้ายของของอดีตเจ้าของดินแดนแห่งนี้ ที่ถูกกองทัพอิสราเอลล้างผลาญ ขับไล่ จนแทบไม่เหลือที่อยู่ อย่างชาวปาเลสไตน์นั่นแล แต่เมื่อช่วงวันศุกร์ (14 พ.ค.) สัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานข่าวของสำนักข่าว “AFP”ยืนยันว่า กองกำลัง “IDF”ก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวคราวดังกล่าวไปแล้วอย่างเป็นทางการ คือยังไม่คิดจะบุก แค่ล้อมไป-ล้อมมา สลับกันการยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือน อาคาร และที่สำคัญคือยังคงต้องทิ้งระเบิดจากเครื่องบินโจมตี ไปยังแหล่งต่างๆ ในเขตฉนวนกาซาที่ส่งผลให้บรรดาชาวปาเลสไตน์เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วร่วมๆ 200 คน ซึ่งในจำนวนนี้ย่อมมีทั้งเด็ก ทั้งผู้หญิง ทั้งคนแก่ ที่ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่อะไรด้วยเลย ก็คงต้องตกเป็น “เหยื่อ” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
คือการไม่คิดจะ “บุกภาคพื้นดิน”นั้น...ต้องถือเป็นการช่วย “ลดระดับความรุนแรง” ลงไปได้ในระดับหนึ่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย เพราะถ้าลองย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต ไม่ว่าครั้งที่อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเมเนเฮม เบกิน” ไปจนถึง “นายแอเรียล ชารอน”เคยเล่นบทเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้นำการบุกภาคพื้นดินเข้าไปสังหารพล่าผลาญบรรดาชาวปาเลสไตน์ ไม่ว่าที่ลี้ภัยอยู่แถวๆ เลบานอน หรือแถบฉนวนกาซาก็ตาม หรือที่รู้จักกันในนาม “การสังหารหมู่ที่เดียร์ ยัสซิน” (Deir Yassin Massacre) หรือ “การสังหารหมู่ที่ซาบราและชาทิลา”(Sabra and Shatila Massacre) อะไรประมาณนั้นต้องเรียกว่า...ล้วนแต่น่าขนลุก ขนพอง น่าหวาดหวั่น-ขวัญสยอง ไปด้วยกันทั้งสิ้น อย่างที่ตัวแทนคณะกรรมการระหว่างประเทศชาวฝรั่งเศส หรือสภากาชาดสากลแห่งกรุงเยรูซาเล็ม “นายฌาค เดอ เรย์เนียร์” (J. De Reynier) เคยให้การไว้ถึงรายละเอียดของฉากเหตุการณ์ในหมู่บ้าน “เดียร์ ยัสซิน”เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1948 นั่นแหละว่า “กองกำลังอิสราเอลได้ใช้ทั้งปืน ระเบิดและมีด ตัดหัวเหยื่อบางคน หักแขน-หักขาเด็กตัวเล็กๆ ต่อหน้าผู้ที่เป็นแม่ ผ่าท้องผู้หญิงมีครรภ์ เชือดเด็กต่อหน้า-ต่อตาคนเหล่านั้น”...
หรืออย่างที่ “โรเบิร์ต ฟิกส์” (Robert Fisk) ผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษแห่งหนังสือพิมพ์ “The Independence”ได้เคยบรรยายถึงเหตุการณ์ในค่ายอพยพผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในเลบานอน หรือในหมู่บ้าน “ซาบราและชาทิลา” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1982 อย่างน่าตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง ประมาณว่า... “ผมไม่เคยเห็นเด็กที่ไร้เดียงสาถูกเข่นฆ่ามากมายถึงเพียงนี้ ผู้อพยพทั้งที่เป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย นอนตายกันเกลื่อน โดยที่มือ แขน หรือขาขาดหายไป บางคนหัวขาดหรือไม่ก็ไส้ทะลัก ศพทารกหลายรายไม่มีหัว จะเป็นเพราะสะเก็ดระเบิดของทหารอิสราเอลตัดผ่าน ขณะที่พวกเขากำลังหลบภัยอยู่ในที่พักของสหประชาชาติ โดยเชื่อว่าจะให้ความปลอดภัยแก่พวกเขาได้ หรือเป็นด้วยเหตุอันใดก็ยากที่จะสรุป แต่ที่หน้าอาคารกองบัญชาการทหารฟิญิอานของสหประชาชาติ ซึ่งกำลังไฟไหม้ ผมพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ กอดศพชายผมสีเทาเขย่าศพนั้นไป-มาพร้อมกับร้องไห้ โดยมีทหารสหประชาชาติในค่ายฟิญิอานยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร แต่ในอ้อมแขนของเขามีร่างของเด็กคนหนึ่งที่หัวขาดไปจากตัว การบุกโจมตีภาคพื้นดินเป็นเวลา 10 วันของกองทหารอิสราเอลเป็นไปอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใคร...ให้อภัย...ต่อการสังหารหมู่คราวนี้ได้”...
ด้วยเหตุนี้...ก็เอาเป็นมาว่า แม้การดวลจรวด-ดวลระเบิดคราวนี้ ชาวปาเลสไตน์จะตายไปแล้วประมาณ 122-130 ราย บาดเจ็บไปอีกร่วมพัน ชาวยิวตายไป 9 บาดเจ็บไปประมาณ 400 แต่ยังน่าจะ “เบา”กว่าการส่งกำลังภาคพื้นดิน บุกเข้าไปสังหาร พร่าผลาญ ผู้ที่ถือเป็น “ศัตรูของชาวอิสราเอล”อย่างเมื่อครั้งอดีตไม่รู้กี่เท่า-ต่อกี่เท่า และสิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือจากการดวลกันไป-ดวลกันมาในคราวนี้ ว่ากันว่า...ส่งผลให้ “นักการเมือง”อิสราเอล อย่างนายกรัฐมนตรี “เบนจามิน เนทันยาฮู” น่าจะบรรลุ “เป้าหมายทางการเมือง”ในบางระดับได้บ้างแล้ว หรือทำให้เกิดความโดดเด่นเป็นสง่า เหนือไปกว่าคู่แข่งทางการเมืองในแต่ละราย แม้ว่ายังคงต้องเผชิญกับข้อหาคอร์รัปชัน “ทุจริต-ติดสินบน” ไปอีกตราบนานเท่านานก็ตาม...
หรืออย่างที่นักวิเคราะห์การเมืองชาวอิสราเอล “นายมิทเชล บารัค”(Mitchel Barak) ได้อธิบายไว้กับหนังสือพิมพ์ “The Jerusalem Post” เมื่อช่วงวันศุกร์ (14 พ.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้คู่แข่งทางการเมือง อย่างนายพล “เบนนี แกนตซ์”(Benny Gantz) แห่งพรรค “ฟ้า-ขาว”(Blue & White) คะแนนนิยมร่วงลงมาอย่างเห็นได้โดยชัดเจนในการเลือกตั้งครั้งที่ 4 ที่เพิ่งผ่านมา แต่ท่ามกลางการเกิดศึก เกิดเรื่อง-เกิดราวกับพวกฮามาสคราวนี้ คู่แข่งที่กำลังมาแรงแซงโค้ง ระดับถือเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อต่อต้าน “นายเนทันยาฮู” นั่นคือ “นายนาฟทาลี เบนเนตต์” (Naftali Bennett) แห่งพรรค “The Jewish Home Party” หรือกลุ่มการเมืองที่รวมตัวกันเป็น “Union of Right-Wing Parties” และเคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีกลาโหมยุคปี ค.ศ. 2019-2020 กลับไม่ได้แสดงบทบาทใดๆ ให้ “เข้าตากรรมการ”เอาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น...ถ้าหากต้องมี “การเลือกตั้งครั้งที่ 5” เพื่อหาทางออก ทางไป ให้กับการเมืองอิสราเอลกันอีกครั้ง โอกาสที่ “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” จะ “นอนมา” โดยไม่ต้องมี “พระสวดนำหน้า” น่าจะมีความเป็นไปได้มิใช่น้อย...
พูดง่ายๆ ก็คือ...ด้วยเหตุเพราะมัน “ไม่มีตัวเลือก” ใดๆ ที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับการเมืองอิสราเอลที่ต้องเจอกับ “ทางตัน”ถึงขนาดจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้มา 4 ครั้งซ้อนๆ ไม่ต่างไปจากการเมืองบ้านเรา ที่ถ้าพูดตามสำบัดสำนวนของคุณพี่อาเฮีย “สนธิ ลิ้มฯ”ก็คงประมาณ “แทบมองไม่เห็นสี จิ้นผิง”ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลยต้อง “เลือกความสงบต้องจบที่ลุงตู่” มาโดยตลอด แบบเดียวกับ “เลือกความโกรธ ความแค้น...ต้องจบที่ลุงเนทันยาฮู” ของอิสราเอลอะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตามที่คิดจะไปกดดัน เรียกร้อง หรือวิงวอน ให้เกิดการลา-ละ-สละ ของ “ลุงตู่”โดยไม่พิจารณาถึงจังหวะจะโคน ช่วงโอกาส ช่วงเวลา ให้ถ้วนถี่ซะก่อน ย่อมต้องเจอกับรายการ “ทัวร์ลง” เป็นธรรมดา...
ยิ่งการที่ประเทศผู้นำมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาที่พยายาม “เชิดชูประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน”เสียเหลือเกิน ไล่กัด ไล่จิก คุณพี่จีนในเรื่อง“สิทธิมนุษยชนชาวซินเกียง” อย่างชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก กลับดันมองไม่เห็นถึงการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวปาเลสไตน์” มาโดยตลอด ก็ยิ่งทำให้ยากส์ส์ส์เอามากๆ ที่ใครจะไปสั่นคลอนสถานะและเสถียรภาพของการเมืองอิสราเอลกันได้ง่ายๆ การที่แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง “เบาๆ”ลงมามั่ง ก็คงต้องถือว่าพอได้ “อยู่ๆ กันไป” จะให้ถึงขั้นเพียบพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยสันติภาพ-ความยุติธรรม อันนั้น...อาจต้องรอจนกว่า “น้ำท่วมหลังเป็ด” ไปพลางๆ...