xs
xsm
sm
md
lg

เยาวชนพม่าฝึกอาวุธสู้กองทัพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โสภณ องค์การณ์



หนุ่มสาวนักศึกษาพม่าต่างพากันออกจากเมืองหลบเข้าป่าเพื่อรับการฝึกฝนการรบจากกองกำลังชนกลุ่มน้อย เพื่อเตรียมจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพของรัฐบาลเผด็จการทหาร พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นแนวทางใหม่ในการต่อสู้โดยสงครามกองโจรในเมือง

ทีมงานสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้สัมภาษณ์นายพลเนอดา โบเมียะ เสนาธิการทหารของกองกำลังเคเอ็นดีโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยรบของกองทัพกะเหรี่ยงกู้ชาติ โดยให้รายละเอียดว่ามีนักศึกษากว่า 200 คนได้เข้าร่วมฝึกยุทธวิธีการรบขั้นพื้นฐาน

นักศึกษาเหล่านี้มาจากหลายสาขา ทั้งพยาบาล แพทย์ และอื่นๆ มาเรียนยุทธวิธีเบื้องต้น เช่น การเตรียมพร้อมร่างกาย การใช้อาวุธปืน และระเบิด รวมทั้งการสร้างระเบิดแบบง่ายๆ เมื่อเสร็จการฝึกก็จะกลับเข้าเมืองเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กลุ่มอื่นๆ ต่อไป

“ถ้าเราไม่ช่วยเหลือเยาวชนเหล่านี้ให้รู้จักวิธีการรบ และป้องกันตัวเอง ใครจะมาฝึกสอนให้เขา” นายพลกะเหรี่ยงบอก แต่ไม่เปิดเผยว่าจะสนับสนุนด้วยการมอบอาวุธให้ด้วยหรือไม่ เพราะการตั้งกองกำลังต้องใช้อาวุธและกระสุนปืนจำนวนมาก

“เราฝึกให้นักศึกษาพวกนี้ให้สู้รบด้วยสมอง ความฉลาด สติปัญญา ไม่ใช่เพียงแค่ใจสู้อย่างเดียว เพราะกองทัพพม่ามีประสบการณ์ การฝึกต่อเนื่องนานกว่า 50 ปี ทั้งยังมีอาวุธ ความพร้อมที่เหนือกว่า” นายพลทหารกะเหรี่ยงย้ำ

ประเด็นสำคัญคือต้องมีอาวุธเพียงพอในการรบแบบยืดเยื้อ และสร้างผลให้เห็นว่ารัฐบาลพม่าจะกุมอำนาจรัฐแบบสบาย ไร้การต่อต้านของประชาชนไม่ได้อีกแล้ว

ที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนเป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีอาวุธและหนทางที่จะสู้รบตบมือกับทหารพม่าที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมทุกด้าน เพราะที่ผ่านมาผู้นำกองทัพซึ่งกุมอำนาจนานกว่า 50 ปีได้เร่งเสริมศักยภาพเพื่อความมั่นคงด้านการทหาร

ทหารพม่าจำเป็นต้องดำรงความแข็งแกร่งเพราะต้องสู้รบกับชนกลุ่มน้อย กองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธซึ่งเรียกร้องเอกราชและเสรีภาพในพื้นที่การปกครองของตนเอง

พื้นที่ฝึกกลุ่มนักศึกษาอยู่ในบริเวณป่าเขาภายใต้การควบคุมของกองทัพกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่เป็นแนวยาวตลอดติดกับพรมแดนของประเทศไทย กองทัพกะเหรี่ยงเคเอ็นยู เป็นกองกำลังชาติพันธุ์แรกที่ประกาศต่อต้านการรัฐประหาร และให้คุ้มครองขบวนผู้ประท้วง

กลุ่มนักศึกษาเข้าป่าส่วนใหญ่อายุ 24-25 ปี เท่านั้น จัดอยู่กลุ่มที่มีความรู้ กลุ่มแรกที่ผ่านการฝึกอย่างหนักแบบทหารไปแล้วมีประมาณ 200 กว่าคน ช่วงการฝึกมีเสียงตะโกน “เพื่อประชาชน เพื่อเสรีภาพ และเพื่อเอกราช”

ถือเป็นครั้งแรกที่มีประชาชนเข้าป่า ฝึกอาวุธและสู้กับกองทัพพม่า จะเป็นสงครามกลางเมือง หลังจากการปราบปราม 2 ช่วงก่อนหน้านี้ไม่มีความต่อเนื่องในรูปแบบนี้ เพราะนักศึกษารวมทั้งประชาชนต้องจำยอมอยู่ภายใต้การปราบปรามเหี้ยมโหด

กองกำลังกะเหรี่ยงไม่ใช่เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ฝึกอาวุธในประชาชนพม่า ยังมีกองกำลังชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร และให้ความช่วยเหลือเช่นกัน นอกเหนือจากการเข้าต่อสู้ด้วยกองกำลัง ที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายให้กองทัพพม่าไม่น้อย

กองกำลังหลักที่รบกับพม่าปัจจุบันคือคะฉิ่น กะเหรี่ยง และไทใหญ่ มีการลอบโจมตีค่ายทหารพม่า ยึดอาวุธและสังหารทหารหน่วยรบต่างๆ จากนี้ไปทำให้กองทัพพม่าต้องรับศึกทั้งกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ และหน่วยรบจากกลุ่มนักศึกษาติดอาวุธ

ความหวังว่าจะมีชาติอื่นส่งมอบอาวุธให้นั้นยังคงมี โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลทหารพม่าได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากจีนและรัสเซีย ขณะที่มาตรการปิดกั้นการส่งอาวุธให้กองทัพพม่าก็ไม่ผ่านมติของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน เพียงประณามและใช้มาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลพม่า และนายพลผู้นำกองทัพ รวมทั้งบริษัทซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำทหาร

แม้จะมีมติการประณามการใช้ความรุนแรง ก็ยังขาดการประณามการรัฐประหาร ซึ่งกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าเกรงว่าถ้าเวลาผ่านไป ประชาคมโลกจะลืมว่าอะไรเกิดขึ้นในพม่า ประชาชนต้องประสบความทุกข์อย่างไรทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม

นับตั้งแต่การรัฐประหารวันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ทหารกองทัพพม่าได้สังหารประชาชนไปมากกว่า 720 ราย จับกุมคุมขังคนมากกว่า 2 พันราย ทุกวันนี้ยังไม่เลิกการปราบปรามจับกุม ค้นบ้านเรือน อาคารสถานที่ต่างๆ เพื่อกวาดล้างคนต่อต้าน

การหนีเข้าป่าเพื่อฝึกฝนอาวุธ จึงเป็นทางเลือกสำหรับการต่อสู้ยืดเยื้อกับกองทัพพม่า ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มีความเหี้ยมโหด ไม่คำนึงถึงการฆ่าคนชาติเดียวกัน

และนี่เป็นการเปิดศึกรูปแบบใหม่ โดยกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่เข้าร่วมกระบวนการอารยะขัดขืน นอกจากนักศึกษา ยังมีคนในสาขาอาชีพอื่นๆ ซึ่งผละงานด้วยการประท้วงเพื่อทำให้กลไกของเศรษฐกิจของประเทศเดี้ยง

ทุกวันนี้ธนาคารต้องปิดเพราะการประท้วง รวมทั้งหน่วยราชการอื่นๆ ทำให้ระบบสาธารณูปโภค การขนส่งเป็นอัมพาต องค์การสหประชาชาติคาดว่าประชากรพม่าเกือบครึ่งจะต้องอยู่ในสภาวะลำบาก ขาดรายได้และขาดสินค้าอุปโภค บริโภคแทบทุกชนิด

จากนี้ไปคงต้องรอดูว่าจะมีนักศึกษาประชาชนเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ และกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธจะยกระดับการสู้รบ เปิดแนวใหม่เพื่อเป็นสงครามการเมือง และชิงพื้นที่ จนนำไปสู่การประกาศเอกราชได้หรือไม่

มีความเป็นไปได้เช่นกันว่าสงครามกลางเมืองจะทำให้ประเทศแตกเป็นรัฐย่อยๆ โดยชาติพันธุ์ต่างๆ เหมือนอดีตยูโกสลาเวีย ซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตาย บ้านเมืองเผชิญวิกฤตทุกด้าน กลายสภาพเป็นรัฐล้มเหลว

อนาคตของประเทศพม่ายังยากที่คาดเดาได้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร ถ้าเป็นศึกยืดเยื้อ ประชาชนจะเป็นผู้รับเคราะห์ และไทยต้องรับมือกับผู้อพยพมากมายแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น