xs
xsm
sm
md
lg

เอกชนแนะรัฐตุนเงินล้านล้าน อัดฉีดเศรษฐกิจช่วงรอฉีดวัคซีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360-ส.อ.ท.แนะรัฐเตรียมเม็ดเงินกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก 1 ล้านล้านบาท หากสถานการณ์โควิด-19 ยังยืดเยื้อ เพื่อประคองเศรษฐกิจระหว่างรอการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสให้ได้ในสิ้นปีนี้ หนุนอัดฉีดเอสเอ็มอี ท่องเที่ยว บริการ และภาคครัวเรือน เพิ่มรายได้และกำลังซื้อ ชี้ช่องดูแลค่าไฟเป็นอย่างแรก ช่วยลดภาระประชาชนช่วงทำงานที่บ้าน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งประเมินว่าทุก 1 เดือน จะกระทบต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) 0.5% ขณะที่รัฐวางเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 100 ล้านโดสให้เสร็จสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าจะทยอยได้ตั้งแต่ มิ.ย.2564 ดังนั้น ระหว่างนี้ รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนในการจัดหาเงิน เพื่ออัดฉีดเงินเข้าฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจไว้ล่วงหน้า โดยระยะสั้นคาดจะเป็นวงเงิน 4-5 แสนล้านบาท แต่หากยืดเยื้อเกิน 3 เดือน อาจจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนราว 1 ล้านล้านบาท

“การที่รัฐบาลวางงบกลางปี 2565 เพื่อฟื้นเศรษฐกิจวงเงิน 3-4 แสนล้านบาท เป็นเรื่องที่ดี เพราะตอนนี้การระบาดโควิด-19 รอบใหม่ กระทบกิจการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) อย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว บริการ ค้าปลีก และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้คงจะมายากแล้ว แต่เห็นว่าวงเงินนี้ ไม่น่าจะเพียงพอ หากยืดเยื้อ ซึ่งดูจากรอบแรก เรากู้เงินมา 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้ยังเหลืออีก 2.4 แสนล้านบาท กว่าจะมีการฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสในสิ้นปีที่รัฐวางไว้ ระหว่างนี้เราต้องเร่งอัดฉีด และเมื่อฉีดวัคซีนครบ ก็จะต้องมีเงินเตรียมไว้ล่วงหน้า ซึ่งเห็นว่าต้องมีไว้ 1 ล้านล้านบาท ไม่รวมกับของเดิมที่เหลืออยู่เป็น 2.4 แสนล้านบาท”นายเกรียงไกรกล่าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ รัฐจะต้องมีเป้าหมายในการอัดฉีดเงินที่ชัดเจน ตรงเป้าหมาย และใช้จ่ายจริง เพื่อฟื้นกำลังซื้อ ฟื้นธุรกิจ หลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 100 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับคนไทยได้ โดยส.อ.ท.ยังคงสนับสนุนให้รัฐเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยเร็ว เพื่อเปิดประเทศและกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ขณะนี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกเริ่มจะกลับมา หลังสหรัฐฯ และหลายๆ ที่ มีการระดมฉีดวัคซีนจนใกล้ครบ และมีการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

นายเกรียงไกรกล่าวว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบใหม่นี้ แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้ประกาศล็อกดาวน์เหมือนรอบแรก แต่ก็ดำเนินการกับพื้นที่สีแดงลักษณะกึ่งล็อกดาวน์ เช่น ให้เน้นการทำงานที่บ้าน กำหนดห้างร้าน ห้ามเปิดให้นั่งทานอาหารภายในร้าน ต้องกลับไปทานที่บ้าน มีการกำหนดเปิด-ปิดห้างร้านขายของต่างๆ ปิดสถานที่เสี่ยง เหล่านี้ล้วนกระทบต่อกิจการ ห้าง ร้าน ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยว ก็ได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากเดิมที่เริ่มจะฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการจ้างแรงงานอยู่พอสมควร จึงทำให้ธุรกิจเหล่านี้ยังคงมีความเปราะบาง ที่รัฐต้องรีบเข้ามาช่วยเหลือ

แหล่งข่าวจากส.อ.ท.กล่าวว่า จากมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ของรัฐบาลในครั้งนี้ เห็นว่า มาตรการลดรายจ่ายเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่รัฐควรจะพิจารณา โดยเฉพาะการลดอัตราค่าไฟฟ้าระดับภาคครัวเรือน ซึ่งพบว่าขณะนี้รายจ่ายจากค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนทำงานที่บ้านมากขึ้น เพราะรัฐคิดค่าไฟแบบอัตราก้าวหน้า แต่ก็ทราบว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงา น(กกพ.) ได้ใช้เงินในการดูแลค่าไฟไปหมดแล้ว เหลือไม่มาก แต่เรื่องนี้ มีความจำเป็น และรัฐควรจะหางบกลางมาอุดหนุนค่าไฟแทนส่วนหนึ่งก็ยังดี เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายประชาชน


กำลังโหลดความคิดเห็น