23 เมษายน 2564
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ปริมาณคนติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ป่วยสะสมเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น จนความสามารถในการรับรักษาผู้ป่วยของสถานพยาบาลต่างๆเริ่มอิ่มตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการหนัก บุคลากรทางสาธารณสุขที่อยู่ด่านหน้าทั้งรัฐและเอกชนเริ่มเหนื่อยกายและเหนื่อยใจมากขึ้น ประชาชนเริ่มวิตก และสับสนมากขึ้น ถ้าจัดการไม่ดีอาจนำไปสู่การล่มสลายทางสาธารณสุขจนถึงเศรษฐกิจและอาจลามไปถึงรัฐล้มเหลวได ้
ปัญหาหลักที่พบชัดเจน ณ ตอนนี้ คือ
ปัญหาจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้นจนล้น
ถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากในขณะที่หลายโรงพยาบาลงดรับตรวจหรือจำกัดการตรวจหาเชื้อโรค COVID 19 ดังนั้นคาดว่าจำนวนผู้ป่วยจริงควรจะเยอะกว่านี้อีกหากตรวจเชิงรุก ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผู้ป่วยที่ตรวจพบในช่วงนี้มักมีอาการแล้ว บางคนมาด้วยปอดอักเสบรุนแรงเมื่อมาโรงพยาบาลครั้งแรก ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการแพร่เชื้อสู่สมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะคนสูงวัยโดยไม่รู้ตัว ความตระหนกของประชาชนที่ทราบว่าคนใกล้ตัวติดเชื้อโดยไม่ทราบว่าติดเชื้อมาจากทางใด
ปัญหามาตรการทางสังคมที่ป้องกันการติดเชื้อ
รัฐโดนกดดันจากหลายฝ่าย การออกนโยบายเป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และการคลัง รวมถึงเรื่องการเมืองต่างๆ จึงไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในช่วงก่อนสงกรานต์ ทำให้การติดเชื้อ COVID 19 แพร่กระจายไปทุกจังหวัด ไม่ได้มีการคุมการกระจายของโรค รวมทั้งการให้ความรู้ที่ไม่ดีพอในการป้องกันโรคและการสร้างความตระหนักถึงการเสี่ยงของระบาดของโรคที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว
ปัญหาการจัดการเชิงรุกครั้งนี้
ไม่มีการจัดการเชิงรุกที่ดี ทำให้ตรวจพบเคสช้ากว่าที่ควรจะเป็น เกิดการระบาดในวงกว้างและความรุนแรงของโรคที่มากขึ้น
ปัญหาเรื่องการรองรับผู้ป่วย
การจัดการปัญหาจัดแบบไม่เตรียมแผนการเผื่อกรณีวิกฤต ได้แต่ทำตามสถิติ ทำให้การจัดการเป็นไปอย่างล่าช้า แผนการที่ใช้ได้ผลในช่วงการระบาดครั้งแรกๆ ที่จำนวนคนไข้ไม่มาก กลับส่งผลเสียในช่วงระบาดหนัก เช่น นโยบายตรวจพบที่ไหนรักษาที่นั่น พอโรงพยาบาลต่างๆ มีบุคลากรไม่เพียงพอก็ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้อีก แต่ระบบจัดการปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีข่าวออกมาหลายข่าวมากเรื่องคนไข้ที่มีอาการแล้วแต่ไม่มีเตียงรองรับ เพราะโรงพยาบาลต่างๆ เต็มขีดความสามารถแล้ว
ปัญหาเรื่องการรักษา
ยารักษาโรคเตรียมไว้จำนวนหนึ่ง แต่พอผู้ติดเชื้อมีปริมาณมากขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ยาไม่พอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบการจ่ายยาควบคุมจากศูนย์กลางทำให้เกิดการล่าช้า แพทย์ที่ดูแลคนไข้โดยตรงคงทราบว่ายาอาจขาดไปบางช่วงทั้ง favipiravir, remdisivir เป็นต้น การบริหารทรัพยากรที่มีจำกัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ผมในฐานะประชาชนชาวไทยและหมอตัวเล็กๆลองคิดทบทวนปัญหาต่างๆ ลองคิดหาทางแก้ไขขอเสนอ ดังนี้
ทั้งรัฐและประชาชนควรต้องยอมรับก่อนว่า ครั้งนี้คือวิกฤติอย่างแท้จริง ไม่ใช่วิตกจริตเกินไป และ ไม่ใช่เกมการเมือง ดังนั้นทุกฝ่ายไม่ควรโยงกับการเมือง เลิกแบ่งแยกว่ารัฐหรือเอกชน เลิกแบ่ง ว่าติดมาจากใคร ไปเที่ยวมาหรืออยู่บ้าน เลิกแบ่งฟากทางการเมือง ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย เปิดรับการระดมความช่วยเหลือทุกฝ่าย เราจะผ่านวิกฤติครั้งนี้โดยเจ็บตัวน้อยที่สุด
ควรออกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความรุนแรงครั้งนี้ ก่อนที่ สถานการณ์จะควบคุมไม่ได้และยืดยาวหลายเดือน
การตั้งโรงพยาบาลสนาม ควรเป็นโรงพยาบาลสนามจริงๆที่มีการกั้นเป็นสัดส่วน มีการระบายอากาศที่ดี และควรให้คนที่มีอาการเท่านั้นที่มาอยู่ ส่วนคนที่ยังไม่มีอาการควรมีมาตรการอื่นรองรับ แบ่งคนไข้ตามระดับความรุนแรง เป็นโซนให ้ชัดเจน
โรงพยาบาลสนามมีการจัดสรรบุคลากรมาช่วยให้เหมาะสม แบ่งเป็น กลุ่มแพทย์ และพยาบาล กลุ่มสนับสนุนต่างๆในการสร้างและบำรุง กลุ่มแม่บ้านทำความสะอาดที่ผ่านการอบรม กลุ่มประสานงานกับผู้ป่วยต่างๆภายในโรงพยาบาลสนาม
และที่สำคัญกลุ่มประสานงานกับฝ่ายต่างๆทั้งภายนอกและภายใน กลุ่มนี้สำคัญมากต้องเชี่ยวชาญในการประสานจัดการเรื่องต่างๆ สุดท้ายเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ ต้องยอมรับว่าคนที่เป็นโควิดมีหลากหลาย และมีความเครียดสูง คงต้องมีเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ด้วย
บุคลากรต่างๆ ที่ทำงานในโรงพยาบาล คงต้องเกณฑ์มาจากรัฐและเอกชนร่วมมือกัน การเพิ่มเตียงตามโรงพยาบาลต่างๆไม่ใช่ทางออก ภาวะปกติงานก็เต็มมือแล้ว บุคลากรมีจำกัดทั้งทางภาครัฐและเอกชน การสั่งเพิ่มเตียงโดยไม่มีอะไรมาเพิ่มเลย ทั้งการสนับสนุนและการออกนโยบายเพื่อลดภาระ เหมือกับสั่งให้ไปซื้อของโดยไม่ให้เงิน อีกทั้งเบียดเบียนผู้ป่วยโรคอื่นๆ อีก การตั้งโรงพยาบาลสนามที่เป็นสถานที่รักษาจริงๆต่างหากที่น่าจะช่วยได ้
การกระจายคนไข ้ โรงพยาบาลต่างๆทั้งรัฐและเอกชนร่วมมือกันตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด หากมีอาการส่งไปโรงพยาบาลเฉพาะกิจหรือโรงพยาบาลสนาม เพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากจะรับรักษาผู้ป่วยอาจเลือกเป็นรายๆ ไป เช่น เคสที่มีอาการรุนแรงมาก มีทีมประสานงานที่มีประสิทธิภาพ มีทรัพยากรและเครื่องมือสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ หากไม่มีเครื่องมือ หรือโรงพยาบาลรองรับเลย ย่อมไม่มีหนทาง
เนื่องจากคนติดเชื้อมาก บางคนอาการน้อยมาก ควรจัดหาที่อยู่ หรือกักตัวในบ ้านหากสามารถเตรียมสถานที่ให้เหมาะสมได้ ไม่ควรเก็บคนไข้เหล่านี้ไว้ในโรงพยาบาล เพราะจะทำให้เสียทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไป หรือให้อยู่สถานที่ที่เตรียมเฉพาะ เช่น hospitel โดยให้คนไข้วัดสัญญาณชีพต่างๆและรายงานอาการด้วยตัวคนไข้เอง ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยเช่น VDO call, telemedicine
การออกกฎหมายฉุกเฉินเพื่อคุมการระบาด ต ้องรวมถึงคนทีี่กักตัวอยู่ที่บ้าน หรือโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้ผู้รักษากฎหมายมีตัวบทรองรับ และประชาชนตระหนักถึงหน้าที่ที่ควรทำในยามทำ สงครามกับโรคระบาด
ยกเลิกนโยบายตรวจพบที่ไหนรักษาที่นั่น เพราะตอนนี้เราต ้องการตรวจตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หากยังมีนโยบายนี้อยู่เราจะเจอคนไข้ที่มีอาการหนักแล ้ว ยับยั้งปอดอักเสบรุนแรงไม่ได้นำไปสู่การเสียชีวิต ทั้งนี้หากให้ผลบวก ควรหาที่ที่ควรอยู่ตามความรุนแรงของโรคดังข้างต้น
การกระจายวัคซีน แม้ว่าวัคซีนจะป้องกันไม่ได ้ 100% แต่ลดความรุนแรงได ้ สิ้นเปลืองทรัพยากร น้อยลงชัดเจน และทำให้เกิดความรู ้สึกปลอดภัยมากขึ้น ควรนำเข้าวัคซีนหลากหลาย เพื่อเป็นทาง เลือก และให้จำนวนคนฉีดมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได ้ อนึ่งเราต้องใช้เวลาในการฉีด และกว่าจะมีภูมิคุ้มกันใช้เวลา 2 สัปดาห์หลังเข็มที่สอง เวลาที่ล่าช ้ามากเท่าไหร่ ความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น
จัดหายาให้เพียงพอ ครั้งนี้สงสารหน่วยงานที่จัดหายามาก เพราะสถานการณ์เลวร ้ายเกินกว่าที่คาดการณ์ ถ้ารวมผู ้ป่วยในไม่กี่แห่ง โดยมีการจัดการที่ดี จะทำให ้การบริหารยาได้ดีขึ้นมาก
การให้ความรู้เรื่องการป้องกัน ถีงแม้ว่ามีการให้ความรู ้ในภาคประชาชนตลอด แต่มักเข้าถึงคนที่เข้าโซเชียลมีเดียเท่านั้น ต ้องหาทางเพิ่มการกระจายความรู ้และการตระหนักถึงความสำคัญใน การป้องกันโรค เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ไปสถานที่เสี่ยงเท่านั้นแล ้ว ในบ้านก็สามารถติดได ้
ผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้คิดอาจเป็นประโยชน์บ้างสำหรับทุกคน หากทำแบบปัจจุบันต่อ อีกไม่นาน
เมื่อบุคลากรทางสาธารณสุขหมดแรงเมื่อไหร่ ยามนั้นนรกบนดินของจริงจะมาเยือน
แพทย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง