ฟังจากปากนายกรัฐมนตรีถึงตอนนี้ไทยนำเข้าวัคซีนมาแล้วกว่า 2 ล้านโดส ตอนนี้กำลังรอซิโนแวคเข้ามาอีกเดือนสองเดือนล้านกว่าโดส และรอแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยที่จะได้ในเดือนมิถุนายน 4-6 ล้านโดส และจะได้ทยอยไปจนถึงปลายปีรวม 61 ล้านโดส
และล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้ประชุมกับตัวแทน รพ.เอกชนที่จัดตั้งขึ้นมาเป็นคณะกรรมการจัดหาวัคซีนทางเลือกยี่ห้ออื่นคาดว่าจะหาได้อีก 35 ล้านโดส
ถึงตอนนี้เราฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วประมาณ 0.5% ของจำนวนประชากร ยังอยู่ในอันดับท้ายๆ ของอาเซียน ทั้งนี้เพราะความจำกัดของวัคซีนที่ได้รับมานั่นเอง ยังโชคดีที่ช่วงนี้เราได้รับวัคซีนซิโนแวคของจีนมาบ้างไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะรั้งท้ายยิ่งกว่านี้
ถามว่าช้าไหมก็ต้องยอมรับว่าช้าเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศทั่วโลก ในขณะที่ทางการแพทย์ระดับโลกเริ่มพูดว่าเราอาจต้องฉีดเข็มที่ 3 ไม่ใช่แค่ 2 เข็มอย่างที่เข้าใจกันตอนแรก
นอกจากการรอคอยวัคซีนที่รัฐบาลประกาศว่าจะนำเข้าให้ประชาชนเกิดความหวังว่าจะได้ฉีดอย่างช้าภายในสิ้นปีนี้นั้น รัฐบาลก็ควรสร้างความหวังให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า เราจะอยู่กันอย่างไร หากโควิดยังอยู่กับเราอีกหลายปีต่อจากนี้
ต้องยอมรับนะว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความผิดพลาดในเรื่องวัคซีน มีการอ้างว่าเพราะในช่วงที่เขาจัดหาวัคซีนกันนั้นเป็นช่วงที่สถานการณ์ในไทยดีขึ้น และตอนนั้นยังไม่รู้ว่าวัคซีนที่ผลิตกันจะได้ผลหรือไม่ คนที่จองล่วงหน้าก็มีความเสี่ยง จนเมื่อเราต้องการวัคซีนก็ไม่สามารถจัดหาได้แล้ว เพราะต้องเข้าคิวรอชาติอื่นที่เขากล้าเสี่ยงจองไปก่อน
รวมถึงความผิดพลาดที่ไม่เข้าร่วม Covax ขององค์การอนามัยโลก แม้จะอ้างว่าเราไม่ใช่ประเทศยากจนก็ฟังไม่ขึ้น เพราะประเทศที่รวยกว่าเราเขาก็เข้าร่วมและได้วัคซีนมาจำนวนหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะช่วงนั้นเราเชื่อว่าสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิดได้ และหลงปลื้มคำชมจากทั่วโลกที่พากันชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่จัดการได้ดี
ดังนั้นรัฐบาลต้องยอมรับและบอกกับประชาชนเลยว่า นับจากนี้ไปอีก 1 ปี เราอาจต้องอยู่ภายใต้สภาวะแบบนี้ และยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ และต้องบอกประชาชนว่ารัฐบาลจะมีมาตรการในการรับมืออย่างไร แต่น่าเสียดายว่าในการแถลงทางโทรทัศน์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งประชาชนเฝ้ารอคอยนั้นไม่ได้บอกเล่าอะไรกับประชาชนมากกว่า การบ่นรำพึงรำพันที่หาสาระไม่ได้
ซึ่งตรงกับที่พล.อ.ประยุทธ์ ยกพระคติธรรมของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ที่เคยประทานให้กำลังใจในการสู้โควิดเมื่อปี 2563 มานั่นแหละว่า “ประเทศไทยต้องชนะ เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ เมื่อถึงคราวปรึกษางานต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม ไม่พูดไร้สาระ ไม่พูดสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์บิดเบือน”
แน่นอนแม้ด้านหนึ่งประชาชนจะต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด แต่ประชาชนต้องการคำตอบจากรัฐบาลว่า ในภาวะความแร้นแค้นของประชาชนที่ไม่สามารถทำมาหากินได้นั้น รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร รัฐบาลจะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างไร ประเทศไทยจะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ชะงักงัน แม้สภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ประชาชนก็ย่อมจะฝากความหวังไว้กับผู้นำประเทศตัวเอง
หรือประชาชนอยากฟังว่า การระบาดหนักในรอบ 3 นี้รัฐบาลจะมีมาตรการรับมืออย่างไรเพื่อให้การติดเชื้อลดลง เมื่อรัฐบาลเลือกไม่ใช้ยาแรงที่จะไม่ล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว ศักยภาพทางการแพทย์ของไทยนั้นมีความสามารถจะรับมือได้แค่ไหน และเมื่อไปถึงขั้นไหนที่จะอยู่ในภาวะวิกฤตเพื่อประชาชนจะได้ตระหนัก และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น
ตอนนี้การติดเชื้อเกินหลักพันมาหลายวันแล้ว และยังไม่มีทีท่าเลยว่าจะลดลงมาเลย สถานพยาบาลของเรา โรงพยาบาลสนามที่เกิดขึ้นจะรับมือไหวไหม ในขณะที่รัฐบาลออกมาตรการในการกักตัวที่บ้านเมื่อเตียงคนไข้ไม่เพียงพอเพื่อรองรับสภาวะแบบนั้นไว้แล้ว
ประชาชนอยากรู้ว่า ถ้าสภาวะการระบาดยังเป็นแบบนี้ไปอีกปีนี้หรือปีหน้า รัฐบาลมีมาตรการที่จะรับมืออย่างไร และประชาชนจะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์เช่นไร รัฐบาลจะจัดการเพื่อช่วยธุรกิจที่ประสบปัญหาอย่างไร เพราะนั่นส่งผลถึงประชาชนจำนวนมากที่ต้องตกงานในภาวะเช่นนี้ว่า พวกเขาจะมีความหวังกลับมามีงานทำมีรายได้ได้อย่างไร
น่าเสียดายที่การออกทีวีวันนั้นพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้ออกมานอกจากการพร่ำบ่น และทำให้ประชาชนที่รอคอยฟังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรผิดหวังไปตามๆ กัน
ในภาวะที่คนกำลังตั้งใจฟังนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความหวังนั้น พล.อ.ประยุทธ์กลับไปพูดเรื่องที่เป็นความเชือดเฉือนทางการเมือง เหมือนที่บอกว่า “ผมไม่เคยอาฆาตหรือแช่งใคร หรือโกรธเกลียดใคร เชื่อว่าไม่เช่นนี้จะกลับเข้ามาสู่ตัวเอง ไม่ว่าใครจะรักหรือไม่รักผม ผมก็ต้องทำให้กับทุกคนอยู่แล้ว ตอนนี้ก็มี ส.สที่ร่วมมือกับผมมาฉีดวัคซีนแล้ว ขอให้พวกท่านดูก็แล้วกัน แต่การชุมนุมต่างๆ แม้จะตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ ต้องระวังไว้แล้วกัน ผมไม่ได้ขู่ ผมห้ามไม่ได้อยู่แล้ว”
ซึ่งคำพูดแบบนี้ที่นายกฯ พูดเป็นข้อเท็จจริงไหม เป็นความจริงไหม ก็ต้องตอบว่าใช่ แต่มันควรจะพูดอีกเวทีหนึ่งอีกวาระหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ในวันนั้นคนเขารอคอยว่านายกรัฐมนตรีจะพูดถึงการรับมือกับสถานการณ์โควิดที่กลับมาระบาดอย่างหนักหน่วงในระลอก 3 นี้อย่างไร
นอกจากรัฐบาลควรแยกแยะปัญหาทางการเมืองออกจากวาระการระบาดของโควิดแล้ว ฝ่ายค้านเองก็ควรจะต้องตระหนักด้วยว่าในภาวะแบบนี้ เราต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าการหวังผลเพื่อชิงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง และควรจะมีข้อเสนอในเชิงสร้างสรรค์ที่จะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการช่วยกันหาทางออกให้ประเทศและประชาชน
รัฐบาลคงต้องยอมรับว่า ในขณะที่เราจัดการรับมือกับโควิดระลอกแรกได้ดี เพราะประชาชนให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระลอกที่ 2 และ 3 นั้นก็มาจากความผิดพลาดของรัฐบาล ทั้งเรื่องการปล่อยให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาจนเกิดการระบาดรุนแรงที่จังหวัดสมุทรสาคร แล้วส่งผลกระทบไปทั่วประเทศ
รวมถึงการปล่อยให้มีการมั่วสุมในสถานบันเทิงจนกลายเป็นการระบาดหนักกว่าทุกครั้ง และเมื่อบอกว่า การระบาดครั้งนี้มาจากสายพันธุ์อังกฤษที่ระบาดหนักในเขมรมาก่อน ก็สะท้อนว่ามีความผิดพลาดในการปล่อยให้มีการลักลอบข้ามไปมาของสองประเทศนั่นเอง
การจัดการกับบ่อเกิดของปัญหาเหล่านี้รัฐบาลควรจะใช้ความเด็ดขาดออกมาให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลจะจัดการอย่างเต็มที่จริงจังไม่ละเลยกับคนที่ทำให้ประเทศต้องมีปัญหาซ้ำเติมในสภาวะแบบนี้ และต้องหาคนกระทำผิดมาลงโทษ เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้
เพื่อทำให้เห็นว่า รัฐบาลประยุทธ์ยังมีความหวังได้ไม่ใช่หายใจบนผลประโยชน์ของอำนาจไปวันๆ
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan