ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
มีใครเคยสังเกตุบ้างว่า หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมในยุคหลังนั้น มักจะกล่าวถึงปัญหาของประเทศไทยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หรือกล่าวถึงการต่อสู้ทางการเมืองและทางการทหารหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงแรกจนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478
ความขัดแย้งทางการเมืองอีกส่วนหนึ่งที่มักจะมีการกล่าวถึงอีกครั้งก็คือคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และสิ่งที่มักจะกล่าวถึงอีกครั้งก็คือความเลวร้ายทางการเมืองหลังการทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
แต่ช่วงเวลาที่มีการกล่าวถึงน้อยมาก กลับเป็นช่วงเวลาทางการเมืองที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 ทรงเป็นยุวกษัตริย์ทรงยังไม่บรรลุนิติภาวะ อีกทั้งยังทรงศึกษาและประทับอยู่ต่างประเทศ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น นักการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง(ส.ส.ประเภทที่ 1) และนักการเมืองที่มาจากการลากตั้งที่คณะราษฎรเลือกกันเอง (ส.ส.ประเภทที่ 2) ได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นทำปฏิบ้ติหน้าที่แทนพระมหากษัตริย์
ดังนั้น นับตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 ถึงวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2489 จึงเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยว่างเว้นพระมหากษัตริย์พระองค์จริงยาวนานถึง11 ปี 9 เดือน 3 วัน
เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่า ในวันที่ประเทศชาติไม่มีพระมหากษัตริย์นั้น นักการเมืองไทยในยุคนั้นได้ทำอะไรลงไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องอำนาจ และผลประโยชน์ส่วนตนและคณะบุคคล
โดยเฉพาะกรณีที่นักการเมืองแห่ซื้อที่ดินของกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ให้กลายเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว โดยอ้างแต่ว่าเป็นพระมหากรุณาฯของคณะผู้สำเร็จราชการที่พรรคพวกตัวเองได้เป็นผู้แต่งตั้งขึ้น
เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่านักการเมืองซึ่งเป็นอดีตผู้ก่อการในคณะราษฎร ยอมรับว่าทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ในนามที่ดินของกรมพระคลังข้างที่นั้นเป็นทรัพย์สินและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
เพียงแต่การยอมรับพระราชอำนาจในทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ของนักการเมืองเช่นนั้น ก็เพื่อหาความชอบธรรมที่นักการเมืองและข้าราชการจะได้ผ่อนซื้อที่ดินของพระมหากษัตริย์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองได้ในราคาถูกๆ
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นมีบันทึกอธิบายความและเผยแพร่ในหนังสือประวัติศาสตร์เพียงน้อยนิดมาก เพียงไม่กี่บรรทัด หรือไม่กี่ย่อหน้า หรือในบางเล่มที่อ้างว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชั้นเลิศก็ยังหลีกเลี่ยงที่จะอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวว่ามีจริงหรือไม่ และมีนัยยะทางการเมืองอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ผู้ดำเนินการขายที่ดินของพระมหากษัตริย์ในราคาถูกๆ ให้กับนักการเมือง กลายเป็นผู้ที่ขายที่ดินของตัวเองไปในกรมพระคลังข้างที่ในราคาที่แพงกว่าที่ดินใกล้เคียงเมื่อลาออกไปแล้ว กลับได้รับความไว้วางใจนักการเมืองให้กลับมารับตำแหน่งดังเดิมอีกด้วย
โดยเฉพาะความคาดหวังและการวิ่งเต้นของที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเครือข่ายของนักการเมืองในยุคปัจจุบันนั้น ยังคงมีอยู่จริงหรือไม่ สามารถสอบถามกับนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจได้
เพราะหากนำเหตุการณ์การแย่งชิงที่ดินพระคลังข้างที่ให้มาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของนักการเมือง มาเปรียบเทียบกับการฟ้องร้องเพื่อยึดทรัพย์สินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จะเห็นได้ว่าการใช้จ่ายของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นการใช้พระราชอำนาจในการใช้ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ในขณะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ชัดเจนเสียยิ่งกว่าการแอบอ้างพระราชอำนาจเพื่อแย่งชิงที่ดินพระคลังข้างที่ให้กลายเป็นทรัพย์สินของนักการเมืองนั้น กลับต้องถูกฟ้องร้องเพื่อยึดทรัพย์เหล่านั้นทั้งหมด ท่านผู้อ่านมีความคิดในเชิงตรรกะในพระราชอำนาจของนักการเมืองเหล่านี้ว่าอย่างไร
โดยเฉพาะการแทรกแซงโยกย้ายอธิบดีศาลแพ่งที่ไม่อายัดทรัพย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ตามคำร้องของรัฐบาลให้พ้นจากตำแหน่งนั้น ได้ถูกตั้งคำถามของผู้อ่านที่ต้องการให้ประเทศชาติยึดหลักนิติรัฐและนิติธรรมนั้น มีความคิดเห็นอย่างไรกับมลทินในเรื่องนี้อย่างไร
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้อ่านอาจจะมองย้อนกลับไป ถึงการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น อาจไม่ใช่เพียงแค่การตอบโต้กันเพราะความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่อาจหมายรวมถึงการกดดันในทุกหนทางของนักการเมืองเพื่อหวังพระราชทรัพย์ทั้งหลายหลังการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือไม่
นอกจากนั้น 11 ปี 9 เดือน 3 วัน ที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงประทับอยู่ต่างประเทศ ยังมีเหตุการณ์ที่นักการเมืองได้กลายฉวยโอกาสเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการผูกขาดของรัฐ รวมถึงการนำเงินของสถาบันพระมหากษัตริย์มาลงเป็นหุ้นและเงินกู้อันมหาศาลในกิจการของนักการเมืองกันเอง
เหตุการณ์ผลประโยชน์เช่นนี้ จึงทำให้เห็นชัดเจนว่าความคาดหวังในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อประเทศชาติและประชาชนนั้น แท้ที่จริงก็มีนักการเมืองแฝงไปด้วยเหตุผลเพื่อการแสวงหาอำนาจและความร่ำรวยของตัวเองไปด้วย
เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ต้องมองในบริบทว่าคนในยุคนั้นอาจไม่ได้มีมาตรฐานจริยธรรมในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนคนในยุคนี้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของมนุษย์ที่พัฒนามากขึ้นในยุคนี้อาจใช้ไม่ได้กับคนในยุคนั้น
แต่ประวัติศาสตร์ที่ไม่ถูกเจตนาทำให้เลือนหายไปนี้ก็ควรจะเป็นบทเรียนให้กับคนในยุคปัจจุบันหรืออนาคตที่จะไม่หลงใหลในเรื่องการเรียกร้อง “รูปแบบ” ของการปกครองเท่านั้น แต่จะต้องคำนึงถึง “เนื้อหา”ของการปกครองทั้งการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมือง และความคิดเรื่องการปฏิรูปการได้มาและการตรวจสอบนักการเมืองด้วย
หนังสือเล่มดังกล่าวนี้ยังรวมถึงการสัมภาษณ์ พลโทสรภฏ นิรันดร บุตรชายของขุนนิรันดรชัย อดีตสมาชิกคณะราษฎรที่เป็นนายทุนท่อน้ำเลี้ยงของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งพลโทสรภฏ นิรันดรนอกจากจะได้ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษแทนบิดา แล้วยังให้คำสัมภาษณ์ทั้งที่เปิดเผยได้ และรอเวลาการเปิดเผยหลังพลโทสรภฏ นิรันดร เสียชีวิตอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งคำสัมภาษณ์ที่มีประโยชน์นี้ทั้งที่เปิดเผยและรอวันเวลาการเปิดเผยได้บันทึกวีดีทัศน์ไว้หมดแล้ว
หนังสือเล่มนี้ยังได้นำเสนอเหตุการณ์ของประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 นักการเมืองในประเทศไทยได้แบ่งออกเป็น 2 สาย สายหนึ่งสนับสนุนรัฐบาลในการร่วมมือกับญี่ปุ่นนำโดยจอมพล ป. พิบูลสงครามที่ใช้ลัทธิชาตินิยมนำประเทศ กับ ขบวนการเสรีไทยนำโดยนายปรีดีพนมยงค์ ที่ร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์และชาติสัมพันธมิตร จนถึงวันประกาศสันติภาพรักษาเอกราชไทยไว้ได้ หลังญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
และยังรวมถึงจุดแตกหักของพฤติการณ์ของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่ทำตัวเทียมกษัตริย์ จนกระทั่งเกิดการรวมตัวกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวดล้มกฎหมายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และทำให้จอมพล ป.พิบูลสงครามต้องลาออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรวมการเปิดเบื้องหลังความรู้สำนึกต่อความพลั้งพลาดของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และนายปรีดี พนมยงค์ ที่ได้กระทำต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ผ่านบันทึกการสัมภาษณ์เปิดเผยของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พิเศษสุดในหนังสือเล่มนี้ที่ไม่ได้เปิดเผยในบทความชุด “ภารกิจคณะราษฎรยังไม่เสร็จ” คือเบื้องหลังคดีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่นอกจากจะเปิดเผยในเรื่องการปั้นพยานเท็จเพื่อให้ร้ายนายปรีดี พนมยงค์แล้ว ยังได้เปิดเผยพฤติการณ์แวดล้อมก่อนเกิดเหตุการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่8 อีกด้วย อันได้แก่ ปริศนารถยนต์พระที่นั่งสูญหาย การเสียชีวิตของหลายบุคคลก่อนเกิดเหตุคดีสวรรคต ฯลฯ โดยเฉพาะการบูรณาการนิติวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่ทำให้ทฤษฎีของสาเหตุการสวรรคตเปลี่ยนไปจากเดิม
หนังสือเล่มนี้ จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกแข็ง หนา 544 หน้า
ราคาปกติ 640 บาท เปิดให้สั่งจองแล้ววันนี้เพียง 520 บาท
#พิเศษ สำหรับผู้สั่งจองก่อน 2 เมษายน เพียง 490 บาทเท่านั้น
ส่วนราคาจองหลังวังที่ 2 เมษายน ที่ 520 บาท จะหมดเขตการจอง 12 เมษายน
โดยรับหนังสือพร้อมลายเซ็นภายใน 20 เมษายน และส่งตรงถึงบ้าน
สั่งจองได้ที่สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์
🔴 Baanphraathit.com > https://www.baanphraathit.com/p/221
#ศึกชิงพระคลังข้างที่2475
#จากปล้นพระราชทรัพย์ถึงกรณีสวรรคต ร.8
#สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์