ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ก็คงต้องไปควานหาเรื่อง “เบาๆ” หรือเรื่องที่ไม่ถึงกับหนักหนาสาหัส ในการย่อย การบริโภค ประเภทอาจไม่ต้องเสียเวลา “คิดมาก” อะไรทำนองนั้น ส่วนจะก่อให้เกิดอาการ “คิดเล็ก-คิดน้อย” หรือไม่ อย่างไร อันนั้น...คงต้องไปว่ากันเอาเองก็แล้วกัน อย่างเช่นสัปดาห์นี้...แม้เป็นเรื่องที่น่าจะออกไปทาง “เบาๆ” แต่ถ้าดันหยิบมาคิดเล็ก-คิดน้อยขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะหนักหัว หนักใจ หนักสมอง ถึงขั้นไหวหวั่น สั่นประสาท ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
คือเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย...ระดับที่เป็นหนึ่งในผู้ประดิษฐ์คิดค้นวัคซีน “Sputnik V” ที่ใครต่อใครในระดับโลกชักหันมาให้ความสนใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้ฉีดวัคซีน “AstraZeneca” ของพวกฝรั่งยุโรป เกิดอาการหงายท้องตึงลิ่มเลือดแข็ง ลิ่มเลือดอุดตันกันไปมิใช่น้อย ชื่อว่า “นายAlexander Gintsberg” ผู้อำนวยการสถาบัน “Moscow’s Gamaleya Institute” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Izvestiya” ไปเมื่อวัน-สองวันนี้ (29 มี.ค.) ว่าเอาไป-เอามาแล้ว การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ผู้คนแทบจะทั่วทั้งโลก ต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะกันมาเป็นปีๆ ต้องหันไปสวมหน้ากากชนิดแทบกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวไปแล้วทั่วทั้งโลก ต้องระงับการเดินทาง ท่องเที่ยว การแข่งขันกีฬา การบันเทิงเริงรมย์ใดๆ ก็แล้วแต่ ที่ต้องมีการมะรุมมะตุ้มกันเยอะๆ ต้องปิดภัตตาคาร ร้านค้า ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรจนคน “ป่วยตาย” กับ “อดตาย” ชักจะมีปริมาณใกล้เคียงกันเข้าไปทุกที ฯลฯ ฯลฯ สุดท้ายแล้ว...ยังหนีไม่พ้นต้องสู้กันไปอีกตราบนานเท่านาน ชนิดแทบหาข้อสรุป ข้อยุติ แทบไม่ได้ แม้จะมีวัคซีนออกมากี่ชนิด กี่แบบ ก็แล้วแต่...
ที่น่าสนใจเอามากๆ...ก็คือนักวิทยาศาสตร์รายที่ว่านี้ ท่านเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว ว่าจะไม่ใช่แค่ติดกันไป-ติดกันมาในหมู่ “คน-กับ-คน” แต่เพียงเท่านั้น แต่กำลังแพร่ขยายลุกลาม ลามปามไปถึงการแพร่ การติดเชื้อ ระหว่าง “คน-กับ-สัตว์” โดยเฉพาะ “สัตว์เลี้ยง” ทั้งหลายอีกด้วยต่างหาก หรือบรรดาหมาๆ-แมวๆ ที่ประดาคนรุ่นใหม่ ยุคใหม่ทั้งหลาย ชอบเอามาเลี้ยง เอามากอด-รัด-ฟัด-เหวี่ยง เอามานอนเตียง ปานประดุจลูกในไส้ หรือปานประดุจสมาชิกที่ขาดเสียไม่ได้ในแต่ละครอบครัวเอาเลยถึงขั้นนั้น อันนี้นี่แหละ...ที่นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย อย่าง “นายAlexander Gintsberg” ท่านหวั่นๆ เอาไว้ล่วงหน้า ว่าอาจนำมาซึ่งการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ หรือ “การแพร่ระบาดระลอกใหม่” ชนิดที่ทำให้เชื้อโรคชนิดนี้ ยังไงๆ...คงต้องอยู่ร่วมกับมวลมนุษย์ไปอีกเป็นปีๆ หรืออีกตราบนานเท่านาน...
คือจะไปสวมหน้ากากให้หมา ให้แมว ในแต่ละตัว...มันก็ออกจะลำบากมิใช่น้อย หรือเผลอๆ อาจต้องประดิษฐ์คิดค้น ต้องออกแบบดีไซน์ “ตะกร้อครอบปาก” ชนิดใหม่ ให้กับหมา กับแมว ในแต่ละตัวแต่ละครอบครัว เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะการเลี้ยง หรือการใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์ประเภทนี้ มันกลายเป็น “วัฒนธรรม” ของคนรุ่นใหม่ ยุคใหม่ไปแล้วก็ว่าได้ จะไปกีดกัน แบ่งแยก เหยียดผิว เหยียดหมา เหยียดแมว ก็อาจกลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ แต่ในเมื่อโดยข้อมูล ข้อเท็จจริง ตามการศึกษาค้นคว้าและวิจัย ของนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าว ระบุเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าการแพร่เชื้อ ติดเชื้อในหมู่หมาๆ แมวๆ มันสามารถลุกลามไปแบบ “สัตว์-สู่-คน” หรือ “คน-สู่-สัตว์” ก็แล้วแต่ ก็เลยทำให้โอกาสที่เชื้อไวรัสตัวนี้ จะยังคงดำรงอยู่ภายในสังคมมนุษย์ไปอีกตราบนานเท่านาน จึงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
หรืออย่างที่ผู้อำนวยการศูนย์สำหรับความถูกต้องแม่นยำและการปรับปรุงตัวยา หรือ “Center for Precision and Regeneration Medicine” แห่งมหาวิทยาลัย “Kazan Federal University” “นายAlbert Rizvanov” ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Tass” ไว้ในระยะใกล้เคียงกันนั่นแหละว่า แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ในรัสเซีย จะเริ่มซาๆ ลงไปมั่งแล้วในช่วงฤดูกาลนี้ แต่ในฤดูกาลใหม่โอกาสที่เชื้อไวรัสตัวนี้ จะหวนกลับมาและแพร่ระบาดอีกครั้งและอีกครั้ง อย่างเป็นระลอก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แม้ว่าใครต่อใครในรัสเซียจะฉีด “Sputnik V” กันไปไม่รู้กี่โดสต่อกี่โดสไปแล้วก็ตาม เนื่องจากไม่ใช่แต่เฉพาะการติดเชื้อ แพร่เชื้อ มันขยายตัวลุกลามไปถึงหมาๆ แมวๆ หรือสัตว์เลี้ยงแต่ละประเภทเท่านั้น แต่บรรดาเชื้อแต่ละเชื้อ...มันยังเริ่ม “กลายพันธุ์” หรือ “Mutation” กันจนวัคซีนแต่ละชนิด อาจวิ่งกวด วิ่งไล่ ไม่ทันเอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน มันเริ่มเกิดการกลายพันธุ์ เกิดการปรับรูป ปรับกลวิธี ในการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ไปแล้วไม่รู้กี่รูป กี่แบบ กลายเป็นเชื้ออังกฤษ เชื้อบราซิล เชื้อแอฟริกาใต้ และเชื้อรัสเซีย ฯลฯ ที่มีกลเม็ดเคล็ดลับผิดแผกแตกต่างกันออกไป...
แม้แต่ในประเทศเจ้าโลกและ “จ้าวโรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาก็เถอะ...ถึงพยายามกักกัน เก็บกักวัคซีน เอาไว้ชนิดไม่คิดจะแบ่งปัน ช่วยเหลือเจือจานประเทศจนๆ บ้างเลย แต่ถ้าว่ากันตามข้อมูล สถิติ จาก “กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์” เมื่อช่วงวันเสาร์ (27 มี.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง การตะลุยฉีดวัคซีนให้ใครต่อใครในสหรัฐฯ กลับไม่ได้ช่วยให้อัตราการติดเชื้อ แพร่เชื้อในประเทศอเมริกามีแนวโน้มลดลงเอาเลยแม้แต่น้อย กลับก่อให้เกิดอาการหูแหก ตาแหก ว่าโอกาสที่จะเกิด “การแพร่ระบาดระลอก 4” อุบัติขึ้นมาสหรัฐฯ อีกครั้ง ชักมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะจำนวนผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อกว่า 25 รัฐ หรือกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ มันกลับสูงโด่เด่ยิ่งกว่าเท่าที่เคยเป็นมาเอาเลยด้วยซ้ำ อย่างเช่น รัฐมิชิแกน ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโดยค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับ 379 คนต่อวัน รัฐเซาท์ดาโคตา ที่มีผู้ฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 34 เปอร์เซ็นต์ แต่จำนวนผู้ติดเชื้อโดยค่าเฉลี่ยกลับเพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน ไม่ต่างไปจากนอร์ทดาโกตา ฯลฯ จนทำให้เกิดอาการไหวหวั่น สั่นประสาท ว่า “การแพร่ระบาดระลอก 4” อาจกำลังหวนกลับมา แถมเป็นเชื้อที่ทำให้บรรดาผู้ติดเชื้ออยู่ในวัยที่ไม่ถึงกับแก่ หรืออายุยังไม่ถึง 65 ปี ยิ่งมีจำนวนและอัตราสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
เจอเข้ากับข่าวคราวประเภทนี้...เลยหนีไม่พ้นที่จะต้อง “ทำใจ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละทั่น!!! ว่าโอกาสที่บรรดาชาวโลกทั้งหลาย จะหวนกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดา อย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อนๆ ไม่ต้องแปลงสภาพตัวเองให้กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องสวมหน้ากากเวลาไปไหน-มาไหน สามารถแห่เข้าไปเชียร์กีฬา ไปกินเหล้า-กินยา เที่ยวไนต์คลับ อาบ-อบ-นวด ไปเที่ยวโน่น-เที่ยวนี่ จงจรเที่ยว-เทียวบทไปได้ตามใจชอบ ตามความปรารถนาและต้องการ ฯลฯ มันอาจจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างอาจต้องเปลี่ยนใหม่ ปรับใหม่ เปลี่ยนไปจากวิถีทางเดิมๆ วิถีชีวิตเดิมๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
ส่วนที่อาจต้องเก็บเอาไป “คิดๆ” เข้าไว้มั่ง...ไม่ว่าจะคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อยก็แล้วแต่ ก็เห็นจะหนีไม่พ้นไปจากวิถีการเมือง-การปกครองนั่นแหละสหาย!!! ด้วยเหตุเพราะภายในสังคมแต่ละสังคมทุกวันนี้ แม้กระทั่งสังคมประเภทที่ได้ชื่อว่า “ประชาธิปไตยเสรี” หรือ “เสรีนิยม” ตามแบบฉบับชาวตะวันตกทั้งหลาย หลังจากที่ต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” มาเป็นปีๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหวนกลับไปสู่ความเป็นปกติกันในตอนไหน เมื่อไหร่ ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง ที่มันได้ก่อให้เกิดวิถีทางการเมือง-การปกครองซึ่งออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เกิดการควบคุมบังคับในรูปแบบต่างๆ จนบรรดานักประชาธิปไตย นักเสรีนิยมตะวันตก จำนวนมิใช่น้อย ต้องออกมาประท้วงแล้ว ประท้วงเล่า เดินขบวนแล้ว เดินขบวนเล่า หรือเกิดการ “ตั้งคำถาม” ต่อรัฐบาลประชาธิปไตยในแต่ละรัฐบาล ว่ากำลังกลายสภาพเป็น “รัฐบาลอำนาจนิยม” ยิ่งขึ้นหรือไม่ อย่างไร หรือชักเกิดการ “Turn Democracy to Totalitarians” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน จนส่งผลให้ “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ชักเป็นอะไรที่ขายไม่ได้ ขายไม่ออก ยิ่งเข้าไปทุกที??? ??? ???