ผู้จัดการรายวัน360-ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้อง 5 นักการเมืองและอดีตบิ๊กข้าราชการพาณิชย์ ขอเพิกถอนคำสั่งรับผิดทางละเมิด ยันต้องชดใช้ค่าเสียหายคดีข้าวจีทูจีเหมือนเดิม “บุญทรง” โดน 1,768 ล้าน “ภูมิ” 2,242 ล้าน “มนัส-ทิฆัมพร” คนละ 4,011 ล้าน ส่วน “อัครพงศ์” ได้ลด เหตุช่วงสัญญาซื้อขาย 1-2 ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ยังต้องชดใช้ 2,694 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (29 มี.ค.) ศาลปกครองกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีระหว่างนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยเลขานุการในคณะทำงานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 โดยมีนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 กรณีขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่สั่งให้ทั้งหมดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการทุจริตโครงการรับจำนำ และโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 มีพฤติการณ์จงใจกระทำการทุจริต ร่วมกันกับข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และภาคเอกชน รวมถึงมีลักษณะการแบ่งงานกันทำ และจงใจทำให้เกิดความเสียหายในโครงการระบายข้าวจีทูจี จึงเป็นการละเมิดต่อการปฏิบัติหน้าที่และจงใจทำให้รัฐเสียหาย ไม่เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่อาจนำข้าวดังกล่าวมาขายราคามิตรภาพหรือต่ำกว่าราคาตลาดได้
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงการชำระเงินเป็นการโอนเงินผ่านธนาคารและแคชเชียร์เช็ค ไม่สอดคล้องกับการขายข้าวแบบจีทูจี รวมถึงมีการส่งมอบหน้าคลังสินค้า ทำให้มีการนำข้าวในคลังมาเวียนขายภายในประเทศ การกระทำดังกล่าวจึงทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม และมีการแก้ไขสัญญาซื้อขายด้วย ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 มีอำนาจสั่งให้กระทรวงการคลัง เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1, 2, 4, 5 ชดใช้ 20% จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จึงชอบแล้ว
สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ 3 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ ทำหน้าที่ล่าม ในการเจรจาซื้อขายข้าว แต่ไม่เคยแสดงความเห็นใดๆ ในการทำสัญญาฉบับที่ 1-2 ต่อมาเมื่อปี 2555 ได้รับแต่งตั้งเป็น ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และเป็นคณะอนุกรรมการระบายข้าวโดยตำแหน่ง รวมถึงมีการเจรจา และทำบันทึกในการซื้อขายข้าวสัญญาฉบับที่ 3-4 ด้วย ขณะเดียวกันมีส่วนร่วมในการแก้ไขสัญญาซื้อขายข้าวฉบับที่ 2 เช่นกัน
ดังนั้น ในการคำนวณค่าเสียหายต้องคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งความร้ายแรง และความเป็นธรรมด้วย เมื่อไม่ปรากฏชัดว่า ในช่วงที่ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และทำหน้าที่ล่าม เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาฉบับที่ 1-2 โดยตรง แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาฉบับที่ 3-4 และการแก้ไขสัญญาฉบับที่ 2 ในช่วงเป็น ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว การให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 รับผิดทางละเมิด 20% ในสัญญาฉบับที่ 1-2 ด้วย จึงเป็นไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ และคำสั่งตั้งคณะกรรมการรับผิดทางละเมิด รวม 4 ฉบับนั้น ศาลเห็นว่า หนังสือทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว มิได้มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 และไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง ที่จะมีผลกระทบ จึงพิพากษาเพิกถอนเฉพาะคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ ลับ 453/59 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2559 ในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ที่ให้ชดใช้ 20% จากมูลค่าความเสียหาย ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1, 2, 4, 5 ส่วนคำร้องอื่นนอกเหนือจากนี้ให้ยก
โดยผลจากคำพิพากษา ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (นายมนัส สร้อยพลอย) ชดใช้ 4,011 ล้านบาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 (นายทิฆัมพร นาทวรทัต) ชดใช้ 4,011 ล้านบาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 (นายภูมิ สาระผล) ชดใช้ 2,242 ล้านบาท และผู้ฟ้องคดีที่ 5 (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) ชดใช้ 1,768 ล้านบาท ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง) ให้ชดใช้ในส่วนสัญญาฉบับที่ 1-2 จำนวน 10% และชดใช้สัญญาฉบับที่ 3-4 จำนวน 20% รวมชดใช้ 2,694 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (29 มี.ค.) ศาลปกครองกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีระหว่างนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยเลขานุการในคณะทำงานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เป็นผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 โดยมีนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 กรณีขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่สั่งให้ทั้งหมดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการทุจริตโครงการรับจำนำ และโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 มีพฤติการณ์จงใจกระทำการทุจริต ร่วมกันกับข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ และภาคเอกชน รวมถึงมีลักษณะการแบ่งงานกันทำ และจงใจทำให้เกิดความเสียหายในโครงการระบายข้าวจีทูจี จึงเป็นการละเมิดต่อการปฏิบัติหน้าที่และจงใจทำให้รัฐเสียหาย ไม่เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่อาจนำข้าวดังกล่าวมาขายราคามิตรภาพหรือต่ำกว่าราคาตลาดได้
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงการชำระเงินเป็นการโอนเงินผ่านธนาคารและแคชเชียร์เช็ค ไม่สอดคล้องกับการขายข้าวแบบจีทูจี รวมถึงมีการส่งมอบหน้าคลังสินค้า ทำให้มีการนำข้าวในคลังมาเวียนขายภายในประเทศ การกระทำดังกล่าวจึงทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม และมีการแก้ไขสัญญาซื้อขายด้วย ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 มีอำนาจสั่งให้กระทรวงการคลัง เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1, 2, 4, 5 ชดใช้ 20% จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จึงชอบแล้ว
สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ 3 ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ ทำหน้าที่ล่าม ในการเจรจาซื้อขายข้าว แต่ไม่เคยแสดงความเห็นใดๆ ในการทำสัญญาฉบับที่ 1-2 ต่อมาเมื่อปี 2555 ได้รับแต่งตั้งเป็น ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และเป็นคณะอนุกรรมการระบายข้าวโดยตำแหน่ง รวมถึงมีการเจรจา และทำบันทึกในการซื้อขายข้าวสัญญาฉบับที่ 3-4 ด้วย ขณะเดียวกันมีส่วนร่วมในการแก้ไขสัญญาซื้อขายข้าวฉบับที่ 2 เช่นกัน
ดังนั้น ในการคำนวณค่าเสียหายต้องคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งความร้ายแรง และความเป็นธรรมด้วย เมื่อไม่ปรากฏชัดว่า ในช่วงที่ผู้ฟ้องคดีที่ 3 เป็นเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และทำหน้าที่ล่าม เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาฉบับที่ 1-2 โดยตรง แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาฉบับที่ 3-4 และการแก้ไขสัญญาฉบับที่ 2 ในช่วงเป็น ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว การให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 รับผิดทางละเมิด 20% ในสัญญาฉบับที่ 1-2 ด้วย จึงเป็นไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ และคำสั่งตั้งคณะกรรมการรับผิดทางละเมิด รวม 4 ฉบับนั้น ศาลเห็นว่า หนังสือทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว มิได้มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ฟ้องคดีที่ 1-5 และไม่ใช่คำสั่งทางปกครอง ที่จะมีผลกระทบ จึงพิพากษาเพิกถอนเฉพาะคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่ ลับ 453/59 ลงวันที่ 19 ก.ย. 2559 ในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ที่ให้ชดใช้ 20% จากมูลค่าความเสียหาย ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1, 2, 4, 5 ส่วนคำร้องอื่นนอกเหนือจากนี้ให้ยก
โดยผลจากคำพิพากษา ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 (นายมนัส สร้อยพลอย) ชดใช้ 4,011 ล้านบาท ผู้ฟ้องคดีที่ 2 (นายทิฆัมพร นาทวรทัต) ชดใช้ 4,011 ล้านบาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 (นายภูมิ สาระผล) ชดใช้ 2,242 ล้านบาท และผู้ฟ้องคดีที่ 5 (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) ชดใช้ 1,768 ล้านบาท ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง) ให้ชดใช้ในส่วนสัญญาฉบับที่ 1-2 จำนวน 10% และชดใช้สัญญาฉบับที่ 3-4 จำนวน 20% รวมชดใช้ 2,694 ล้านบาท