ครป.จัดเวทีชำแหละ7 ปี "ประยุทธ์" สร้างเผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ บริหารประเทศล้มเหลว 7 ปีก่อหนี้มากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งหมด เตือน "3 ป." อย่าซ้ำรอยรัฐบาล "ถนอม-ณรงค์-ประภาส"
วานนี้ (28มี.ค.) ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดเวทีชำแหละ7ปี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พาชาติติดหล่ม โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธานครป. , รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร ,นายกษิต ภิรมย์ , น.ส.รสนา โตสิตระกูล ,พ.ต.อ.วิรุฒน์ ศิริสวัสดิบุตร ,นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ และ เมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. ร่วมอภิปราย
รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า พัฒนาการของประเทศหมุนทวนกลับไป โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ใช้โครงสร้างอำนาจของส.ว.สืบทอดอำนาจตนเองเหมือนกับในรธน.ปี 21 ซึ่งทำให้การเมืองไทยย้อนหลังกลับไป 40 ปี กลายเป็นการเมืองย้อนยุค ที่ให้อำนาจส.ว.กำหนดอำนาจการบริหารประเทศ
ปัจจุบัน "ระบอบ 3 ป." ถือเป็นระบบการเมืองแบบคณาธิปไตยในทางสากล ที่คอยชี้นำ และกำหนดอนาคตประเทศ รูปแบบเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กวาดเอาความปรารถนาของสังคมไป ให้เหลือเพียงความปรารถนาของ 3 ป.เท่านั้น พรรคพลังประชารัฐ ก็กลายเป็นพรรคที่บริหารสไตล์มาเฟีย ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง มีระบบอุปถัมภ์ภายในพรรคการเมือง การบริหารโดยกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี
"ระบอบประยุทธ์ร้ายแรงกว่าระบอบทักษิณ และสร้าง "เผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ" ขึ้นมาไม่มีกลไกตรวจสอบอำนาจ และปิดปากประชาชนแม้แต่ในการเสนอกฎหมายของตนเอง และร้ายแรงที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็ไม่ประสงค์ให้มีการแก้ไขเหมือนกับที่แถลงนโยบาย รัฐบาลทำตัวเหมือนเรือขวางคลองสุเอช ขัดขวางกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกรูปแบบ " รศ.ดร.พิชาย กล่าว
รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร อาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงเศรษฐกิจติดหล่ว่า ประเทศไทยมาถึงทางแพร่งสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว แต่ศก.ไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่ตนเองเป็นนายก เป็นรมว.กลาโหม และเป็นหัวหน้าทีมศก. แต่ไม่มีความรู้ด้านศก.เลย จนเศรษฐกิจติดหล่ม คนว่างงานมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปคนจะตกงานอีกหลายแสนคน และจะเป็นระเบิดเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ และหล่มต่อไปคือ หล่มความเหลื่อมล้ำ รวมถึงหล่มหนี้สิน และหนี้เสียของประเทศ ที่อาจจะถึงขั้นล้มละลาย
นอกจากนี้ หล่มผูกขาดศก. ทั้งการผูกขาดด้านการเกษตร อาหาร พลังงาน และจะกลายเป็นมรดกสีดำของชาติบ้านเมือง
หล่มหายนะที่สุดคือ หล่มการคลัง และหนี้สาธารณะ จะกระทบต่อคนไทยอีกเป็น 10 ปี และทำลายสังคมให้หายนะในที่สุด คนชั้นกลางและคนชั้นล่าง ได้รับผลกระทบหนัก คนชั้นกลางกว่า กว่า 4 ล้านคนที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว จะกลายเป็นคนจนรุ่นใหม่ เพราะรัฐบาลหลงผิดติดกับดักรายได้ปานกลาง ที่เป็นแนวทางที่ผิดพลาด ต่อไปนี้นโยบายทำบุญ โปรยทาน แจกเงิน จะทำได้ยาก และใกล้อวสานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เพราะจะมีการรีดภาษีชนชั้นกลาง ก่อปัญหาหนี้สินมากมาย
"รัฐบาลใช้งบฯแผ่นดิน 20 ล้านล้าน 7 ปี ทำประเทศขาดทุนกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา สร้างหนี้มหาศาล แต่ขับเคลื่อนศก.น้อยมาก และส่วนมากผันรายได้ไปสู่มือของกลุ่มทุนข้างบนต่างๆในท้ายที่สุด"
นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่ารัฐบาลประยุทธ์ ชวนฝันคุยโม้ มอบประเทศให้สองสามครอบครัวครอบงำศก.ประเทศ จนไม่มีการแข่งขัน โดยรัฐบาลมีความสัมพันธ์อันอบอุ่นกับกลุ่มทุน และทุนสามานย์ 7 ปีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำโครงการประชานิยม แต่มีการ
ทุจริตคอร์รัปชัน ร่วมกันโกงกินมหาศาล รัฐบาลทำอยู่ 2 เรื่อง คือ โครงการเมกะโปรเจกต์ กับ ประชานิยม จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน หันมาร่วมกันหยุดสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้แล้ว
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กล่าวว่า การให้เอกชนสัมปทานพลังงาน น้ำมัน ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ทำให้เกิดความร่ำรวยอย่างมหาศาลกับคนรวยไม่กี่กลุ่ม ล่าสุดการให้สัมปทานเหมืองแร่เป็นแสนไร่ แต่ทำให้ประชาชนรอบข้างได้รับผลกระทบจำนวนมาก 7 ปีมีการถ่ายโอนทรัพยากรต่างๆ มีอย่างมหาศาลของส่วนรวมไปสู่กลุ่มทุน เกิดโครงสร้างการผูกขาดอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ และจับมือกลุ่มทุนผูกขาดทางศก. จนยุคนี้มีการผูกขาดอำนาจทางรัฐสภาเบ็ดเสร็จ รวมถึงองค์กรตามรธน.ทั้งหลาย ทำให้มองไม่เห็นกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล กรณีบอส กระทิงแดง ก็มีการเปลี่ยนสำนวน ในชั้นตรวจสอบในรัฐสภา แล้วปัจจุบันไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
"ขอเสนอว่า ในช่วงโควิด ประชาชนตกงาน รัฐบาลกู้เงินมาทำประชานิยม เราชนะ ไทยชนะ แต่แจกเงินไม่ทั่วถึง ทำไมไม่ลดราคาน้ำมันลง มีนโยบายด้านพลังงานที่ชัดเจนแบบนี้ จะทั่วถึงมากกว่า แต่รัฐบาลกลัวกระทบกลุ่มทุนน้ำ มันใช่ไหม เขาชนะ แต่ไทยแพ้"
สรุป 7 ปี นโยบายพลังงานไม่เคยเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันกลายเป็น รัฐทหาร ตำรวจ นายทุนผูกขาด และนักการเมืองบางกลุ่ม ร่วมกันผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จ และกอบโกยไม่เคยพอ
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. กล่าวว่า คนไทยติดหล่มอำนาจนิยมมากว่า 7 ปี และจะติดหล่มไปอีก 6 ปี ถ้าไม่แก้ไขรธน. และจะเกิดความรุนแรงเป็นสงครามกลางเมือง ดังนั้น รัฐบาล 3 นายพล จะต้องตระหนัก และไม่นำประเทศไทยไปติดหล่มแห่งความรุนแรงเช่นนั้นอีก เพราะไม่อย่างนั้นนายพลทั้ง 3 ป. จะไม่ต่างจาก 3 ทรราชย์ ในสมัยก่อน ซ้ำรอยรัฐบาลถนอม ณรงค์ ประภาส เพราะการสืบทอดอำนาจโดยรธน. ก็เหมือนการรัฐประหารตนเอง รวบอำนาจกลไกตรวจสอบและกลไกราชการไว้ในมือตนเองแบบเบ็ดเสร็จ
ทางออกของประเทศไทยจากหล่มนี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกไป แล้วมีกระจายอำนาจการปกครองและศก. การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กระจายอำนาจตำรวจ ปฏิรูปกองทัพ และร่างรธน. ออกแบบการเมืองใหม่ร่วมกัน
วานนี้ (28มี.ค.) ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดเวทีชำแหละ7ปี รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พาชาติติดหล่ม โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธานครป. , รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร ,นายกษิต ภิรมย์ , น.ส.รสนา โตสิตระกูล ,พ.ต.อ.วิรุฒน์ ศิริสวัสดิบุตร ,นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ และ เมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. ร่วมอภิปราย
รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า พัฒนาการของประเทศหมุนทวนกลับไป โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ใช้โครงสร้างอำนาจของส.ว.สืบทอดอำนาจตนเองเหมือนกับในรธน.ปี 21 ซึ่งทำให้การเมืองไทยย้อนหลังกลับไป 40 ปี กลายเป็นการเมืองย้อนยุค ที่ให้อำนาจส.ว.กำหนดอำนาจการบริหารประเทศ
ปัจจุบัน "ระบอบ 3 ป." ถือเป็นระบบการเมืองแบบคณาธิปไตยในทางสากล ที่คอยชี้นำ และกำหนดอนาคตประเทศ รูปแบบเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กวาดเอาความปรารถนาของสังคมไป ให้เหลือเพียงความปรารถนาของ 3 ป.เท่านั้น พรรคพลังประชารัฐ ก็กลายเป็นพรรคที่บริหารสไตล์มาเฟีย ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง มีระบบอุปถัมภ์ภายในพรรคการเมือง การบริหารโดยกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี
"ระบอบประยุทธ์ร้ายแรงกว่าระบอบทักษิณ และสร้าง "เผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ" ขึ้นมาไม่มีกลไกตรวจสอบอำนาจ และปิดปากประชาชนแม้แต่ในการเสนอกฎหมายของตนเอง และร้ายแรงที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็ไม่ประสงค์ให้มีการแก้ไขเหมือนกับที่แถลงนโยบาย รัฐบาลทำตัวเหมือนเรือขวางคลองสุเอช ขัดขวางกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกรูปแบบ " รศ.ดร.พิชาย กล่าว
รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร อาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงเศรษฐกิจติดหล่ว่า ประเทศไทยมาถึงทางแพร่งสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมา 7 ปีแล้ว แต่ศก.ไม่ดีขึ้นเลย ทั้งที่ตนเองเป็นนายก เป็นรมว.กลาโหม และเป็นหัวหน้าทีมศก. แต่ไม่มีความรู้ด้านศก.เลย จนเศรษฐกิจติดหล่ม คนว่างงานมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปคนจะตกงานอีกหลายแสนคน และจะเป็นระเบิดเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ และหล่มต่อไปคือ หล่มความเหลื่อมล้ำ รวมถึงหล่มหนี้สิน และหนี้เสียของประเทศ ที่อาจจะถึงขั้นล้มละลาย
นอกจากนี้ หล่มผูกขาดศก. ทั้งการผูกขาดด้านการเกษตร อาหาร พลังงาน และจะกลายเป็นมรดกสีดำของชาติบ้านเมือง
หล่มหายนะที่สุดคือ หล่มการคลัง และหนี้สาธารณะ จะกระทบต่อคนไทยอีกเป็น 10 ปี และทำลายสังคมให้หายนะในที่สุด คนชั้นกลางและคนชั้นล่าง ได้รับผลกระทบหนัก คนชั้นกลางกว่า กว่า 4 ล้านคนที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว จะกลายเป็นคนจนรุ่นใหม่ เพราะรัฐบาลหลงผิดติดกับดักรายได้ปานกลาง ที่เป็นแนวทางที่ผิดพลาด ต่อไปนี้นโยบายทำบุญ โปรยทาน แจกเงิน จะทำได้ยาก และใกล้อวสานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เพราะจะมีการรีดภาษีชนชั้นกลาง ก่อปัญหาหนี้สินมากมาย
"รัฐบาลใช้งบฯแผ่นดิน 20 ล้านล้าน 7 ปี ทำประเทศขาดทุนกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา สร้างหนี้มหาศาล แต่ขับเคลื่อนศก.น้อยมาก และส่วนมากผันรายได้ไปสู่มือของกลุ่มทุนข้างบนต่างๆในท้ายที่สุด"
นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่ารัฐบาลประยุทธ์ ชวนฝันคุยโม้ มอบประเทศให้สองสามครอบครัวครอบงำศก.ประเทศ จนไม่มีการแข่งขัน โดยรัฐบาลมีความสัมพันธ์อันอบอุ่นกับกลุ่มทุน และทุนสามานย์ 7 ปีที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำโครงการประชานิยม แต่มีการ
ทุจริตคอร์รัปชัน ร่วมกันโกงกินมหาศาล รัฐบาลทำอยู่ 2 เรื่อง คือ โครงการเมกะโปรเจกต์ กับ ประชานิยม จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน หันมาร่วมกันหยุดสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้แล้ว
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กล่าวว่า การให้เอกชนสัมปทานพลังงาน น้ำมัน ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ทำให้เกิดความร่ำรวยอย่างมหาศาลกับคนรวยไม่กี่กลุ่ม ล่าสุดการให้สัมปทานเหมืองแร่เป็นแสนไร่ แต่ทำให้ประชาชนรอบข้างได้รับผลกระทบจำนวนมาก 7 ปีมีการถ่ายโอนทรัพยากรต่างๆ มีอย่างมหาศาลของส่วนรวมไปสู่กลุ่มทุน เกิดโครงสร้างการผูกขาดอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ และจับมือกลุ่มทุนผูกขาดทางศก. จนยุคนี้มีการผูกขาดอำนาจทางรัฐสภาเบ็ดเสร็จ รวมถึงองค์กรตามรธน.ทั้งหลาย ทำให้มองไม่เห็นกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล กรณีบอส กระทิงแดง ก็มีการเปลี่ยนสำนวน ในชั้นตรวจสอบในรัฐสภา แล้วปัจจุบันไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย
"ขอเสนอว่า ในช่วงโควิด ประชาชนตกงาน รัฐบาลกู้เงินมาทำประชานิยม เราชนะ ไทยชนะ แต่แจกเงินไม่ทั่วถึง ทำไมไม่ลดราคาน้ำมันลง มีนโยบายด้านพลังงานที่ชัดเจนแบบนี้ จะทั่วถึงมากกว่า แต่รัฐบาลกลัวกระทบกลุ่มทุนน้ำ มันใช่ไหม เขาชนะ แต่ไทยแพ้"
สรุป 7 ปี นโยบายพลังงานไม่เคยเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันกลายเป็น รัฐทหาร ตำรวจ นายทุนผูกขาด และนักการเมืองบางกลุ่ม ร่วมกันผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จ และกอบโกยไม่เคยพอ
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. กล่าวว่า คนไทยติดหล่มอำนาจนิยมมากว่า 7 ปี และจะติดหล่มไปอีก 6 ปี ถ้าไม่แก้ไขรธน. และจะเกิดความรุนแรงเป็นสงครามกลางเมือง ดังนั้น รัฐบาล 3 นายพล จะต้องตระหนัก และไม่นำประเทศไทยไปติดหล่มแห่งความรุนแรงเช่นนั้นอีก เพราะไม่อย่างนั้นนายพลทั้ง 3 ป. จะไม่ต่างจาก 3 ทรราชย์ ในสมัยก่อน ซ้ำรอยรัฐบาลถนอม ณรงค์ ประภาส เพราะการสืบทอดอำนาจโดยรธน. ก็เหมือนการรัฐประหารตนเอง รวบอำนาจกลไกตรวจสอบและกลไกราชการไว้ในมือตนเองแบบเบ็ดเสร็จ
ทางออกของประเทศไทยจากหล่มนี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกไป แล้วมีกระจายอำนาจการปกครองและศก. การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กระจายอำนาจตำรวจ ปฏิรูปกองทัพ และร่างรธน. ออกแบบการเมืองใหม่ร่วมกัน