เปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยบรรยากาศที่ต้องเรียกว่า อุตลุด-ชุลมุนชุลเกซะเหลือเกิน!!! สำหรับความเคลื่อนไหวเป็นไปของโลกใบนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไล่มาตั้งแต่เรื่อง “เรือติด” ที่หนักซะยิ่งกว่า “รถติด” ใน กทม.บ้านเรา ที่ได้ชื่อว่าสุดยอดแห่งการรถติด ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า คือเรือสินค้าลำใหญ่โตเบ้อเร่อเบ้อร่า ที่เรียกๆ กันว่า “Ever Given” ที่บริหารโดยบริษัทญี่ปุ่น เขาไปทำอีท่าไหน แบบไหน ก็มิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ดันไปติดค้าง ไปเกยหิน เกยทราย อยู่ภายใน “คลองสุเอซ” เส้นทางคมนาคมขนส่งในระดับโลก ชนิดส่งผลให้เรืออื่นๆ หาทางออก ทางไป แทบไม่เจอ...
อันนี้นี่แหละ...ที่เล่นเอายุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่ะ!!! กันในระดับโลกเอาเลยทีเดียวเจียว เพราะเห็นว่าต้องใช้เวลาขุดโคลน ขุดทราย นับเป็นแสนๆ ลูกบาศก์เมตร (150,000-200,000 ลูกบาศก์เมตร) หรือให้ต้องลึกลงไปในระดับ 12-16 เมตรเอาเลยถึงขั้นนั้น ถึงพอจะช่วยให้เรือสินค้าลำนี้รอดสันดอนและสันดานออกมาได้จริงๆ หรือต้องใช้เวลานับเป็นสัปดาห์ๆ เป็นอย่างน้อย และนั่นเองที่ทำให้บรรดาเรือต่างๆ ที่ต้องค้างเติ่ง ต้องชักสะพานแหงนถ่อรอคอย เกิดความสูญเสีย เสียหาย ระดับนับวันละเป็น “พันๆ ล้านดอลลาร์” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถ้าว่ากันตามการประเมินของวารสารด้านการขนส่งทางน้ำชื่อดังของอังกฤษ อย่าง “Lloyd’s List” ว่ากันว่าความเสียหายจากช่วงขาเข้าไปยังเอเชีย อาจปาเข้าไปถึงวันละ 5,100 ล้านดอลลาร์ ส่วนช่วงขาออกไปยังยุโรป ไม่น่าจะต่ำกว่าวันละ 4,500 ล้านดอลลาร์ หรือรวมๆ แล้วยิ่ง “เรือติด” นานเท่าไหร่ ก็นับมูลค่าความเสียหายไปได้เลย วันละไม่น้อยกว่า 9,600 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย...
นี่...หนักหนาสาหัสไปได้ถึงปานนั้น และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือว่า บรรดาสินค้าต่างๆ ที่ต้องผ่านช่องทางที่ว่านี้ ยังรวมไปถึงปริมาณ “น้ำมัน” ที่โลกทั้งโลกจำเป็นต้องวิ่งหามาบริโภควันละ 39.2 ล้านบาร์เรลไม่น้อยไปกว่านั้น แต่ด้วยการอาศัยช่องทางที่ว่านี่เอง เป็นตัวลำเลียงน้ำมันในปริมาณไม่น้อยไปกว่า 1.74 ล้านบาร์เรล ไปยังประเทศโน้น ประเทศนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ “เรือติด” ขึ้นมา ว่ากันว่า...ส่งผลให้ราคาน้ำมันที่เคยเหี่ยวปลายลงไปประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ก่อนหน้านี้ เด้งดึ๋งกลับขึ้นมาอีกประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย น้ำมัน “Brent” โดดไปที่ 63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อช่วงวันศุกร์ (26 มี.ค.) ที่ผ่านมา ส่วน “West Texas” เด้งไปอยู่ที่ 59.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อให้เกิดการได้-การเสีย กระเป๋าแหก กระเป๋าฉีก สำหรับบรรดาผู้ถนัดในการ “เก็งกำไร” ทั้งหลาย เป็นจำนวนมิใช่น้อย...
แต่นอกเหนือไปจากเรื่อง “เรือติด” แล้ว...ยังอาจตามมาด้วยเรื่อง “กบฏฮูตี” (Houthis) หรือพวกชาวเยเมนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับราชอาณาจักรซาอุฯ นั่นแหละ ที่นอกจากไม่ได้คิดจะแสดงท่าทีตอบรับ ยอมรับ ข้อเสนอ “สันติภาพ” ตามแบบฉบับเอาดีเข้าตัว-เอาชั่วใส่คนอื่น ของ “ฆาตกรหั่นศพ” ที่ออกมาจุดพลุเอาไว้เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ยันออกอาการ “ขยัน” เสียเหลือเกินในการส่งจรวด ส่งเครื่องบินโดรนเข้าไปโจมตีสถานที่สำคัญต่างๆ ในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา “คลังน้ำมัน” ทั้งหลาย แม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วทางการซาอุฯ จะสรุปว่า บรรดาจรวดและโดรนของพวกกบฏ ถูกสกัดกั้น ถูก “Intercept” จนแทบไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆต่อซาอุฯ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่นับจากนี้...หรือหลังจากนี้ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า พวก “ฮูตี” ก็พร้อมออกมาป่าวประกาศว่า จะส่ง “บ้องข้าวหลามยักษ์” ชนิดและขนาดต่างๆ ไปยังราชอาณาจักรซาอุฯ อย่างไม่มีวันรามือ ราตีน เอาง่ายๆ โดยเฉพาะการเล็งเป้าหมายไปที่โรงกลั่นน้ำมันในเมือง “Jizan”ที่มีกำลังการผลิตน้ำมันไม่ต่ำกว่าวันละ 400,000 บาร์เรล รวมทั้งโรงกลั่นต่างๆ ในซีกตะวันตกแบบชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก...
แต่แค่เฉพาะ “กบฏฮูตี”ยังอาจไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสมากมายสักเท่าไหร่...ที่น่าขนลุก ขนพอง ขนหัวตั้งอยู่พอสมควร ก็น่าจะมาจากข่าวคราวเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว (25 มี.ค.) ที่ระบุเอาไว้ว่า กองทัพ “อิหร่าน”ได้ใช้จรวดแบบใด ชนิดใด ก็มิอาจทราบได้ ยิงใส่เรือบรรทุกสินค้าของ “คู่กัดตลอดกาล” อย่าง “อิสราเอล” คือเรือ “Zolphaghar 99” ที่ติดธงไลบีเรีย ชนิดพังพินาศ ฉิบหาย ระหว่างที่กำลังแล่นจากแทนซาเนียไปยังอินตะระเดีย หรือขณะกำลังแล่นอยู่ในอ่าวโอมาน อันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีสิทธิ์ “ร้อนฉ่า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เพราะก่อนหน้านั้นการ “แก้แค้น-เอาคืน” ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ก็เป็นไปในแบบ “เสือล้างสิงห์-เจอลิงล้างก้น” มาโดยตลอด คือแทบไม่มีใคร-ยอมใคร!!! เรือบรรทุกสินค้าของอิหร่าน อย่างเรือ “Helios Ray” ก็เพิ่งถูกวินาศกรรม ขณะแล่นไป-แล่นมาอยู่แถวๆ ทะลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง โดยอิหร่านเขาเชื่อว่า...หนีไม่พ้นไปจากฝีมือของ “คู่กัด” อย่างอิสราเอลนั่นเอง...
แต่ที่อะไรต่อมิอะไรมันยังอาจไม่ถึงกับตูมๆ ตามๆ ขึ้นมาในช่วงนี้...อาจเพราะช่วงวันอังคารที่ผ่านมา ในการ “เลือกตั้งทั่วไป” เป็นครั้งที่ 4 ของอิสราเอล เพื่อที่จะหาบทสรุป หาจุดลงตัว ให้กับการจัดตั้ง “รัฐบาลอิสราเอล” ขึ้นมาอย่างเป็นการยั่งยืนและถาวร ไม่ต้องไปผสมหัว-ผสมหาง จนออกไปทาง “หัวมังกุ-ท้ายมังกร” แทบไม่อาจบริหารประเทศ หรือดำเนินการทางการเมืองใดๆ ได้ ผลการเลือกตั้ง...มันดันปรากฏออกมาอีกครั้งว่า สุดท้าย...ก็ยังคงต้อง “Deadlock” ต่อไปอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย แม้ว่าจะเป็นการแข่งขันกันระหว่างพวก “ฝ่ายขวา” กับ “ฝ่ายขวาจัด” ไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ด้วยเหตุเพราะไม่ว่าจะขวาแบบไหนก็ตาม ต่างไม่อยากที่จะให้ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ที่กำลังเจอกับข้อหาคอร์รัปชันและติดสินบน กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” ไปด้วยกันทั้งสิ้น และในเมื่อพรรค “Likud” รวมทั้งพรรคพันธมิตรของ “นายเนทันยาฮู” น่าจะคว้าเก้าอี้มาได้แค่ประมาณ 52 ที่นั่ง ไม่ถึง 61 ที่นั่ง หรือเกินครึ่งหนึ่งของสภา “Knesset” ที่มีอยู่ 120 ที่นั่ง การรวมหัว รวมตัว เพื่อต่อต้านการกลับคืนสู่ตำแหน่งของ “นายเนทันยาฮู” จึงอาจมีส่วนทำให้ประเทศอิสราเอลยังไม่มีเวลาพอที่จะไปปวดหัวในเรื่องอื่นๆ นอกจากเรื่องของ “ตัวกูเอง” ซะเป็นหลัก การล้างแค้น-เอาคืน การตอบโต้อิหร่านที่เตรียมๆ กันไปถึงขั้นอาจ “ชิงโจมตีก่อน” ต่อบรรดาสถานที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่าน จึงถือเป็น “คำถาม” ที่อาจต้องรอ “คำตอบ” หลังจากคลี่คลาย “ปัญหาของตัวกูเอง” ได้บ้างแล้วในบางระดับ???
คือสรุปง่ายๆ ว่า...บรรยากาศความเป็นไปของโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มันออกจะชุลมุน-ชุลเกเอาเรื่องอยู่พอสมควร จนทำให้แม้แต่ “อุบัติเหตุ” ใดๆ ก็ตาม สามารถถูกพลิกผัน ถูกยกระดับ ไปในทิศทางไหนก็ย่อมได้ แม้แต่ใกล้ๆ บ้านเราหรือในภูมิภาคเอเชียก็ตาม การแสดงออกถึงลักษณะอาการ “กระเหี้ยนกระหือรือ” เอามากๆ ของบรรดาชาว “ไต้หวัน” ในช่วงระยะนี้ ก็ยังเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียว น่าสยดสยองยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าการออกข่าวป่าวประกาศของรัฐมนตรีกลาโหมไต้หวัน “Chiu Kuo-cheng” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ว่าได้ประดิษฐ์คิดค้นจรวดพิสัยใกล้-พิสัยไกลก็แล้วแต่ ที่จะยิงข้ามฝั่งไปยัง “จีนแผ่นดินใหญ่” เรียบร้อยแล้ว แถมยังประกาศว่าได้สั่งการให้ “ระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ของไต้หวัน คอย “มอนิเตอร์” เครื่องบินจีนลำใดก็ตาม ที่คิดล่วงละเมิดเส้นแสดงตน หรือ “Identification Zone” พร้อมกับเครื่องบินโจมตีอีกไม่ต่ำกว่า 20 ลำ หรือพร้อมที่จะปล่อยจรวด ปล่อยขีปนาวุธเล่นงานจีนแผ่นดินใหญ่ได้ทุกเมื่อ รวมทั้งได้ร่วมมือกับกองทัพสหรัฐฯ จัดตั้งหน่วยยามฝั่ง เพื่อรับมือกับความก้าวร้าวของพญามังกรจีนแบบมึงมั่ง-กูมั่ง อย่างไม่คิดจะลดราวาศอกแม้แต่น้อย...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันชักจะ “อ่อนไหว”หรือ “เปราะบาง” ยิ่งเข้าไปทุกที สำหรับการ “ปะ-ฉะ-ดะ” หรือการ “ประดาบก็เลือดเดือด”ที่อาจมีสิทธิ์อุบัติขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เหมือนอย่างที่ชาวเอเธนส์และชาวสปาร์ตา นักรบกรีกรุ่นโบร่ำโบราณเมื่อ 2 พันกว่าปีที่แล้ว ต้องปรารภรำพึงไว้ในหนังสือเรื่อง “History of the Peloponnesian War” นั่นแหละว่า... “War spring from unseen and generally insignificant causes, the first outbreak being often but an explosive of anger.” หรือ “สงคราม...มักเกิดขึ้นจากต้นเหตุที่ไม่สลักสำคัญและมองไม่เห็นอย่างกรณีทั่วๆ ไป แต่เมื่อแรกเกิด...มันจะระเบิดขึ้นด้วยความโกรธแค้นเสมอๆ...”